หลังจาก “สถาบันวิชาการปัองกันประเทศ” กองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยรายชื่อ 150 บุคคล ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 หรือ “มินิ วปอ.รุ่นที่1” เกิดกระแสวิจารณ์หนาหู
และหนึ่งในดราม่านั้นคือ วิจารณ์ถึงสัดส่วนของสส.จากพรรคก้าวไกล ที่ไม่มีแต่คนเดียวในจำนวน 150 คนที่ได้เข้าเรียนในหลักสูตรมินิ วปอ.
พลอากาศเอก ภูมิใจ เลขสุนทรากร ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หรือ สปท. กล่าวถึงกรณีดราม่าไม่มีรายชื่อในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล ว่า เรื่องนี้ เราเปิดกว้างอยู่แล้ว ซึ่งทางพรรคก้าวไกล มีผู้สมัครมาเพียงหนึ่งคน แต่หลังจากตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ขาดคุณสมบัติเนื่องจากมีอายุ เกินเกณฑ์
“พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ได้รับทราบปัญหานี้ และสั่งการแล้วว่าในครั้งต่อไป จะเปิดกว้างในเกณฑ์อายุที่ต่ำกว่านี้ จากปีนี้ที่กำหนดไว้ที่ 35 ปี อาจจะเหลือ 30 ปี ซึ่งระเบียบปีนี้ได้ออกมาแล้ว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้”
พลอากาศเอก ภูมิใจ ยืนยันว่าสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ต้องการรับนักการเมืองทุกกลุ่มให้ครอบคลุม ยืนยันว่าไม่ได้มีการสกัดกั้นแต่อย่างใด เพราะเราอยากจะ ให้มารวมกันเป็นหนึ่ง และใช้หลักสูตร มินิ วปอ. สร้างทีมไทยแลนด์ เพื่อที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า
ด้านนางสาวรัชดา ธนาดิเรก อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ระบุถึงหลักสูตรทินิวปอ.รุ่น1 ว่า ยอมรับว่าเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเรียนหลายหลักสูตร ทำให้ ได้มีความรู้เพิ่มเติม ได้รู้จักเพือนใหม่ที่น่ารัก
แต่ก็อดมีคำถามไม่ได้ว่า สังคมได้อะไรกับคอนนเนกชั่นที่เรามี ไม่ได้เจาะจงหลักสูตรไหนเป็นพิเศษ แต่เป็นคำถามไปยังหลักสูตรที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือแม้จะเป็นงบส่วนตัวทั้งหมดก็ตาม
เพราะการที่คนที่มีศักยภาพมาอยู่ร่วมกัน สนิทชิดเชื้อเป็นพี่เป็นน้องกัน น่าจะสามารถสร้างสิ่งดีๆให้กับสังคมได้มากมาย มากกว่าการสังสรรค์ ตีกอล์ฟ หรือCSRแบบปีละหน
หลักสูตรต่างๆควรปลูกฝังความคิดผู้เรียนให้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีทั้งคนรวยมาก จนมาก คนที่หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ขณะที่บางคนข้าวจะเอาเข้าปากยังไม่มี คนที่มีความพร้อมควรช่วยกันขับเคลื่อนงานสังคมอย่างบูรณาการและยั่งยืน
ซึ่งจำเป็นต้องเป็นหนึ่งในตัวชีวิตคุณค่าของทุกหลักสูตร “สังคมได้อะไรจากหลักสูตรและผู้เรียนของเรา” และถ้าไม่มีคำตอบที่สังคมยอมรับได้ มันก็แปลแบบอ้อมได้เหมือนกันว่าสังคมไม่ได้เสียอะไรถ้าไม่มีหลักสูตรเหล่านั้น