“ก้าวไกล”ออกโรงยันแก้ ม.112 ไม่มีเจตนา“เซาะกร่อนบ่อนทำลาย”

31 ม.ค. 2567 | 17:04 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ม.ค. 2567 | 17:10 น.

พรรคก้าวไกล “พิธา-ชัยธวัช” นำทีมแถลงยืนยัน แก้ม.112 ไม่ได้มีเจตนา "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" หรือ แยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติแต่อย่างใด

วันนี้(31 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ พรรคก้าวไกล กรณีเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ..เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง 

ในเวลา 16.00 น. นายพิธา พร้อมด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมส.ส.ของพรรค ร่วมกันแถลงข่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า  แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าการกระทำพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง แต่พรรคก้าวไกลขอยืนยันอีกครั้งว่า “เราไม่ได้มีเจตนาเพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หรือ แยกสถาบันพระมาหากษัตริย์ ออกจากชาติแต่อย่างใด”

นอกจากนี้ ยังกังวลว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาว เช่น อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง ฝ่ายนิติบัญญัติ กับ ศาลรัฐธรรมนูญ ในอนาคต อาจจะกระทบต่อความเข้าใจของประชาชนต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ปัญหาการตีความในประเด็นการล้มล้างการปกครอง ที่มีความเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ไม่ตรงกัน คำวินิจฉัยวันนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาทางดุลยภาพระหว่างประชาธิปไตย และ สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมืองไทยในอนาคต และอาจทำให้สังคมไทยสูยเสียโอกาสในการใช้ระบบรัฐสภาในการหาข้อยุติความขัดแย้ง หรือ ข้อคิดเห็นที่แตกต่างในสังคมในอนาคต 

“สุดท้ายคำวินิจฉัยวันนี้ อาจส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยและส่งผลในด้านลบอีกด้วย”

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุอีกว่า “พรรคขอขอบคุณทุกกำลังใจ อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยวันนี้จะไม่ได้กระทบเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกล แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"