"ดร.พิสิฐ"แนะ มาตรการคุมราคาน้ำตาล ลดต้นทุน-เพิ่มผลผลิต

23 พ.ย. 2566 | 10:33 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ย. 2566 | 10:59 น.

“ดร.พิสิฐ” เสนอมาตรการคุมราคาน้ำตาล หลังเอลนีโญ่กระทบทำราคาพุ่ง ชี้น้ำตาลทรายขาวต้องไม่เกิน 25 บาท แนะลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตอ้อย

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2566  ดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส. และประธานนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวขอให้รัฐบาลดูแลให้น้ำตาลปลอดจากการกักตุนและควบคุมราคาขายปลีกไม่ให้ขายเกินที่กำหนด  รวมทั้งต้องผลักดันให้การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยกับโรงงานเป็นไปตามกฎหมาย ต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน

ควบคุมไม่ให้เผาอ้อยเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและจัดระบบให้มีการขนส่งทางราง เพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเป็นแหล่งการจ้างงานและรายได้ของประเทศ ซึ่งทำรายได้ส่งออกปีละกว่า2แสนล้านบาท เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน 
 

ดร. พิสิฐ กล่าวว่า ปัจจุบันอ้อยเป็นแหล่งจ้างงานเกษตรกร 474,000 ราย มีพื้นที่การปลูกประมาณ 12 ล้านไร่ ปีนี้มีผลผลิตเป็นอ้อยดิบประมาณ 93 ล้านตัน ส่งโรงงานน้ำตาล 57 โรงซึ่งสามารถผลิตน้ำตาลทรายประมาณ 10.5 ล้านตัน โดยใช้บริโภคภายในประเทศร้อยละ 25 และสำรองไว้เพื่อความมั่นคงในประเทศ 8 แสนตัน ที่เหลืออีกร้อยละ 65 ส่งออกไปต่างประเทศ 

ดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส. และประธานนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์

ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากบราซิลและอินเดีย มีการจัดระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล 70:30 มาประมาณ 40 ปี  ภายใต้พรบ. อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มีการกำหนดให้กลไกของน้ำตาลในประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและโรงงาน

ที่ผ่านมาราคาในประเทศจะสูงกว่าตลาดต่างประเทศ โดยมีประกาศราคาขายหน้าโรงงานไว้ที่ 19-20 บาท ต่อกก. ส่งผลให้คนไทยซื้อน้ำตาลในราคา 23 -24 บาทต่อกก. ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นต้นต่ำกว่าราคาตลาด รัฐก็มีการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อยมาเป็นระยะเวลายาวนาน  

ประธานนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวว่า จากภัยแล้งทั่วโลกที่มาจากเอลนีโญ่ ทำให้โลกมีการผลิตน้ำตาลทรายลดลงมากกว่า 20% โดยเฉพาะอินเดีย ถึงกับมีมาตรการควบคุมการส่งออกน้ำตาลไปต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 12 ปี คำนวณมาเป็นเงินบาทอยู่ที่ 27 -28 บาท ต่อกก. ประกอบกับต้นทุนการผลิตอ้อยเพิ่มขึ้นจากที่ 1,100 บาทต่อต้น เป็น 1,500 บาทในฤดูการผลิตปี 65/66 ผู้ผลิตจึงเสนอให้เพิ่มราคาขายหน้าโรงงานอีก 4 บาท แต่รัฐบาลได้ต่อรองให้เพิ่ม 2 บาท

แต่ตลาดภายในประเทศยังมีการกักตุ้นน้ำตาล ทำให้ราคาขายปลีกตามร้านทั่วไป ขยับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกิน 30 บาทต่อกก. และบางพื้นที่ไม่มีน้ำตาลขาย รัฐบาลโดยกรมการค้าภายในจึงออกประกาศเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ให้น้ำตาลกลับมาเป็นสินค้าควบคุมอีกครั้ง  และกำหนดราคาขายปลีกไม่เกิน 24 -25 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19  พ.ย.  66 เป็นต้นมา 

แม้ว่ารัฐบาลได้ประกาศปรับราคาน้ำตาลเพิ่ม 2 บาท ต่อ กก. แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังเห็นว่าประชาชนยังมีความเดือดร้อนจากการขาดแคลน และในบางตลาดมีราคาแพงกว่า 30 บาทต่อ กก. ซึ่งเกินราคาควบคุม  รวมทั้งยังไม่เห็นความชัดเจนของการแก้ไขเชิงโครงสร้าง และสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย  จึงมีข้อเสนอขอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้ 

1. มาตรการเฉพาะหน้า รัฐบาลต้องใช้กลไกของไร่เพื่อตรวจสอบควบคุมอย่างจริงจัง สร้างความมั่นใจว่ามีน้ำตาลป้อนให้ตลาดอย่างเพียงพอ ไม่เกิดการขาดแคลน ซื่งจะส่งผลให้การขายน้ำตาลของร้านค้าปลีกอยู่ในราคาที่กำหนดคือ น้ำตาลทรายขาวต้องไม่เกิน 25 บาท  

2. มาตรการเชิงโครงสร้าง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

2.1 เร่งรัดบังคับใช้กฎหมาย ว่าด้วย “ผลพลอยได้” ตามคำนิยามของพรบ. อ้อยน้ำตาลทราย ปี 2565 ที่การแบ่งปันผลประโยชน์ระบบ 70:30 ให้รวมประโยชน์ที่ได้จากชานอ้อยหรือกากอ้อยมาคำนวณด้าย ปัจจุบันยังมีการปฏิบัติตามกฏหมาย เพื่อความเป็นธรรมแก่ชาวไร่อ้อย

2.2 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีผลผลิตสูงขึ้น การเพาะปลูกยังขึ้นกับอากาศและน้ำฝนเป็นหลัก ในปีที่มีน้ำสมบูรณ์เช่น2560/61 มีผลผลิตถึง 130 ล้านตัน ปัจจุบันประสิทธิภาพการผลิตของไทยอยู่ที่ 10 ตันต่อไร่ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 14 ตันต่อไร่ สมควรที่ต้องมีมาตราการพิ่มผลผลิตต่อไร่

แม้ว่าปัจจุบันรัฐจะให้เกษตรกรกู้เงินประเภท Soft loan อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.0  วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อมาปรับโครงสร้างการผลิต แต่มีเงื่อนไขที่ปฏิบัติได้ยากและเม็ดเงินยังน้อยเกินไป ในทางปฏิบัติกลับเป็นชาวไร่อ้อยรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้  จึงควรปรับวงเงินเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขควรผ่อนปรนให้มากกว่านี้ เพื่อให้ชาวไร่รายย่อยได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น

2.3 ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการตัดอ้อยสดแทนการเผา เนื่องจากการเผามีผลเสียกับทุกฝ่าย ทั้งตัวชาวไร่อ้อยจะได้ราคาอ้อยที่ลดลง ไม่ได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐแล้ว ยังเป็นบ่อเกิด PM 10 และ PM 2.5 เป็นปัญหาสาธารณสุขจากมลภาวะเป็นพิษที่สำคัญในบ้านเรา แม่ว่าที่ผ่านมาภาครัฐจะรณรงค์และทำให้อัตราอ้อยเผากับอ้อยสด ลดลงจาก 65 :35 เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาเหลือ 35 : 65 ในปัจจุบันก็ตาม แต่ยังเป็นอัตราที่สูงอยู่

รัฐจึงควรส่งเสริมอย่างจริงจังทั้งมาตราการจูงใจที่เป็นส่งเสริมให้เกษตรกร/สถาบันเกษตรกร ได้มีรถตัดอ้อยให้เพียงพอในช่วงหีบอ้อย จะเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนกว่าการจูงใจให้เงินชดเชย 150 บาทต่อตันกับการตัดอ้อยสด รวมทั้งถึงเวลาที่ต้องมีการบังคับอย่างจริงจัง ที่ไม่ให้โรงงานรับซื้ออ้อยเผาอีกต่อไป  แต่ควรมีระยะเวลาให้เกษตรกรปรับตัวสัก 2 -3 ปี ก่อนมีผลบังคับใช้

2.4 สนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรที่ใช้ในการตัดอ้อย ทดแทนการสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักรเก่าจากต่างประเทศ เพื่อให้มีการพัฒนาการผลิตเครื่องจักรกลเกษตร 

2.5    ส่งเสริมสนับสนุนการปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งอ้อยด้วยรถบรรทุกเป็นการขนส่งด้วยระบบรางแทน ค่าขนส่งเฉลี่ย 200 บาทต่อตันเป็นต้นทุนที่สำคัญ ขณะที่การปลูกอ้อยในบางพื้นที่ เช่นภาคตะวันตก(นครปฐม ราชบุรีและกาญจนบุรี) และในบางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นแหล่งผลิตกว่าร้อยละ50 ล้วนมีระบบรางรถไฟ ที่สามารถใช้ทำการขนส่งอ้อยดิบแทนรถบรรทุกได้

นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งให้ลดลงไม่ต่ำกว่า 50% แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดช่วงฤดูหีบอ้อย รวมทั้งลดการซ่อมบำรุงทางหลวงจากการบรรทุกน้ำหนักเกินได้ด้วย