ก้าวไกล เล็งแก้กฎหมายยกเลิกงบลงทุน ถมสวัสดิการ 1.3 ล้านล้าน

28 มิ.ย. 2566 | 15:30 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มิ.ย. 2566 | 15:51 น.
4.5 k

ตัวแทนพรรคก้าวไกล เสนอคณะทำงานเปลี่ยนผ่านจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค แก้กฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ยกเลิกการกำหนดสัดส่วนงบลงทุนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำเงินมาจัดทำนโยบายสวัสดิการ 1.3 ล้านล้าน

แหล่งข่าวจากพรรคร่วมรัฐบาลเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะทำงานประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ ของ 8 พรรคที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้ ตัวแทนจากพรรคก้าวไกลได้เสนอแนวคิดให้ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาล ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเงินมาใช้ในการดำเนินนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน ด้วยการยกเลิกการกำหนดสัดส่วนงบลงทุนที่กฎหมายกำหนดว่าจะต้องมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำเงินมาใช้สำหรับการจัดทำนโยบายสวัสดิการที่พรรคก้าวไกลได้หาเสียงไว้กับประชาชน

อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวของพรรคก้าวไกล มีคณะทำงานจากหลายพรรคที่ไม่เห็นด้วย เพราะเกรงว่าจะกระทบกับการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวให้กับประเทศ จึงต้องมีการหารือกันอีกเยอะ ต้องดูรายละเอียดว่าจะปรับปรุงนิยามงบลงทุนอย่างไรประกอบกันไปด้วย

จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า หากดูจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงินรวม 3,185,000 ล้านบาท พบว่ามีการตั้งงบรายจ่ายลงทุนไว้จำนวน 689,479.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21.65% ของวงเงินงบประมาณ

ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงิน การคลังของรัฐ มาตรา 20 บัญญัติว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (1) งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีนั้น 

นอกจากนี้ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ยังกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลังให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลังที่สำคัญ ดังนี้

กรอบวินัยการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี (ร้อยละของงบประมาณรายจ่ายประจำปี)

  • รายจ่ายงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ต้องอยู่ระหว่างร้อยละ 2.0-3.5
  • งบประมาณชำระคืนต้นเงินกู้ ต้องอยู่ระหว่างร้อยละ 2.5-3.5
  • สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีไม่เกินร้อยละ 10
  • สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือจากที่กำหนดในงบประมาณรายจ่ายไม่เกินร้อยละ 5
  • อัตราการชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายต้องมียอดคงค้างรวมกันไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

สัดส่วนเพื่อใช้เป็นกรอบวินัยในการบริหารหนี้

  • หนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60
  • ภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ไม่เกินร้อยละ 35
  • หนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 10
  • ภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการไม่เกินร้อยละ 5

ก่อนหน้านี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความเรื่อง “ข้อสังเกตเรื่องต้นทุนทางการเงินของนโยบายและที่มาของเงิน : วิเคราะห์จากเอกสารที่พรรคการเมืองยื่นเสนอต่อ กกต. “ระบุว่า นโยบายของพรรคก้าวไกลมีนโยบายต่าง ๆ ซึ่งระบุว่าจะใช้เงิน 1.3 ล้านล้านบาท โดยนโยบายที่จะใช้เงินมากที่สุดคือ นโยบายสวัสดิการสูงอายุ ซึ่งจะใช้เงิน 5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.2 แสนล้านบาทจากโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปัจจุบัน

ส่วนนโยบายที่ใช้เงินสำรองลงมาคือนโยบาย “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งจะใช้งบ 2 แสนล้านบาท โดยระบุว่าจะมาจากการเกลี่ยงบประมาณของกระทรวงต่าง ๆ มาให้จังหวัด

ในส่วนของแหล่งที่มาของเงินที่ต้องใช้เพิ่ม พรรคก้าวไกลระบุว่าจะจัดเก็บรายได้ภาครัฐในรูปแบบใหม่และปรับปรุงระบบภาษีซึ่งจะทำให้รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น 6.5 แสนล้านบาทต่อปี และจะปฏิรูปกองทัพซึ่งจะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณและมีรายได้เพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาทต่อปี เป็นต้น

โดยรวมแล้ว พรรคก้าวไกลจัดทำเอกสารที่ค่อนข้างละเอียด โดยแจกแจงต้นทุนและที่มาของแหล่งเงินชัดเจนกว่าพรรคอื่น เช่น ระบุว่าส่วนไหนจะใช้งบฯของหน่วยงาน งบฯกลางหรือต้องหาเงินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตัวเลขงบประมาณที่พรรคก้าวไกลนำเสนอเกือบทั้งหมด ยังเป็นตัวเลขของปีงบประมาณ 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายและแสดงภาระการคลังสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น จึงเป็นการประมาณการที่ค่อนข้างรัดกุม

ที่สำคัญพรรคก้าวไกลไม่ได้ใช้ “เงินนอกงบประมาณ” ทำให้สามารถอุดช่องโหว่ปัญหาวินัยการคลังในอดีตที่บางรัฐบาลเน้นการใช้เงินส่วนนี้ ซึ่งรัฐสภาไม่สามารถกลั่นกรองได้เพราะไม่ผ่านกระบวนการงบประมาณ

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยังไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนในเอกสารที่เสนอต่อ กกต. ว่าจะจัดเก็บรายได้ภาครัฐรูปแบบใหม่และปรับปรุงระบบภาษีอย่างไร และจะมีความเป็นไปได้เพียงใดที่จะจัดเก็บเพิ่มได้ตามจำนวนที่ระบุ แม้ได้ระบุว่ามีความเสี่ยงที่อาจจัดเก็บรายได้เพิ่มไม่ได้ตามเป้าไว้บ้างก็ตาม นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังไม่ได้ระบุความเสี่ยงจากการปฏิรูปต่าง ๆ ตามนโยบายพรรคที่อาจถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากกองทัพและหน่วยราชการส่วนกลาง