จบเอเปค ลุ้นอนาคต“บิ๊กตู่” ไปต่อ หรือ พอแล้ว

20 พ.ย. 2565 | 10:30 น.
586

จบเอเปค ลุ้นอนาคต“บิ๊กตู่” ไปต่อ หรือ พอแล้ว : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย... ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3837

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3837 ระหว่างวันที่ 20 ต.ค.-23 พ.ย. 2565 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย

 

***  “ผมเหลือเวลาอีกไม่นาน พี่จะเอายังไง” เป็นคำถามของ น้องเล็ก บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม “มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐสิ” เป็นคำตอบของ พี่ใหญ่ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นี่คือบางช่วงบางตอนของการสนทนาระหว่างพี่น้อง “2 ป.” ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบนัดนัดพบกันเพื่อ “เคลียร์ใจ” พร้อมพูดคุยถึงทิศทางทางการเมืองในอนาคต รวมถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพประชุม “ผู้นำเอเปค”


*** เมื่อจบจาก “เอเปค” หลัง 19 พ.ย.2565 ก็คงได้เวลาที่ “บิ๊กตู่” จะต้อง “ตัดสินใจทางการเมือง” และส่งสัญญาณให้ชัดว่า จะ “ไปต่อ” กับระยะเวลาที่เหลืออยู่ในการเป็นนายกฯ ได้อีก 2 ปี หรือ “พอแล้ว” ไม่ไปต่อ ขอลงจาก “หลังเสือ” ปล่อยให้ “พี่ป้อม” ไปต่อในทางการเมือง ซึ่งนับแน่นี้ไปบิ๊กตู่จะต้องถูกถามทุกวันทั้งจากสื่อมวลชน และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ว่าจะเอาอย่างไรต่อ เพราะมันไปเกี่ยวพันกับอนาคตของ ส.ส.ว่ายังจะอยู่ต่อกับ “พลังประชารัฐ” หรือ ต้องย้ายไปร่วมพรรคการเมืองอื่น ที่มีโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลมากกว่า

 

ยิ่งเวลาของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เหลือน้อยลงไปทุกวัน ก่อนจะครบเทอมวันที่ 23 มี.ค.2566 ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคร่วมไทยสร้างชาติ ของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ก็ย่อมต้องการความชัดเจนโดยเร็ว เพราะมันหมายถึงการวางคนเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ ... “บิ๊กตู่” จะไปต่อ หรือ พอแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยคำตอบอยู่!


*** ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.65 วีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาถามตั้งคำถามว่า ตนอยู่พรรคพลังประชารัฐก็อยากให้เป็นพรรคการเมืองที่มีความมั่นคง ส.ส.อยู่แล้วสบายใจว่า คราวหน้าใครจะเป็นนายกฯ กันแน่ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์  ท่านเป็นอีก 2 ปี แล้วเลือกนายกฯ ใหม่ มันก็ใช้บทเฉพาะกาลไม่ได้ ซึ่งก็จะเป็นเรื่องของ ส.ส.เท่านั้น ไม่มี ส.ว. 250 เสียงมาเกี่ยวข้อง (ร่วมโหวตเลือกนายกฯ)  ซึ่งมันไม่ใช่สมการสูตรเดิม ถ้าเป็นสูตรเดิมใครก็ต้องยอม


จึงมีความเป็นไปได้สูงในครึ่ง 2 ปีหลัง จะไม่ใช่ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่จะเป็นรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐจะไปเป็นฝ่ายค้านซึ่งมันก็ไม่ได้ คิดไปมันก็ “น่ากลัว” หลังจากเปิดสภามาผมถามเพื่อนๆ น้องๆ ในพรรคประมาณ 20 คน เขาเห็นด้วยกับผม แต่เขาพูดไม่ได้ เพราะถ้าไม่มี ส.ว.มาช่วยโหวตเลือกนายกฯ ใครมันจะมาช่วย เงื่อนไขมันจะต่างจากเดิมไปเยอะ ซึ่งเรารับไม่ได้ด้วยซ้ำไป

                                      จบเอเปค ลุ้นอนาคต“บิ๊กตู่” ไปต่อ หรือ พอแล้ว  


 *** วีระกร แสดงความเห็นด้วยว่า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านมานาน เขาต้องการเอา นายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน เขาก็ต้องยื่นเงื่อนไขให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะเป็นพรรคใหญ่ และเมื่อเงื่อนไขเป็นแบบนั้น พรรคพลังประชารัฐ จะไปอยู่ตรงไหน เราจะอยู่ 4 ปีได้ ก็ต้องเอา พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเป็นนายกฯ ซึ่งไม่ได้ลดเกรด พล.อ.ประยุทธ เราให้มาเป็นรองนายกฯ หรือ รัฐมนตรีว่าการแทนโดยมีศักดิ์ศรีเท่ากับที่ พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกฯ อยู่ในตอนนี้ มีบารมีไม่ต่างกันเลย เพราะทุกคนรู้ว่าทั้ง 2 คนใกล้ชิดและรักกันมาก ตายแทนกันได้ ทุกคนที่เกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เกรงใจ พล.อ.ประวิตร เหมือนกัน เมื่อมีความจำเป็นที่พรรคพลังประชารัฐจะเป็นรัฐบาลอีก 4 ปี ก็ให้ พล.อ.ประวิตร ขึ้น เปลี่ยนสลับชื่อกันเฉยๆ แต่บารมีหน้าที่ก็เหมือนเดิมเท่าๆ กัน วันนี้ต้องคิดกันแล้ว


*** จากเรื่อง “การเมือง” หันไปดู “อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ” เป็นเรื่องการ ส่อ“ปั่นหุ้น” ที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากมี “บริษัทหลักทรัพย์” ได้รับความเสียหายจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ของ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด(มหาชน) หรือ ที่เรียกว่า “หุ้น MORE” จำนวน 11 โบรกเกอร์ส่งตัวแทนเข้าร้องขอต่อ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบการซื้อขายหุ้น MORE ที่มีความผิดปกติ จนอาจเข้าข่ายความผิดฐาน “ฉ้อโกง”  สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท 


*** โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ( ผบช.ก.) ออกมาเปิดเผยว่า การที่ทางบริษัทโบรกเกอร์ผู้เสียหายเข้าแจ้งความ เพราะเชื่อว่าการซื้อขายมีความผิดปกติ เป็นการฉ้อโกง และ สงสัยว่าตัวผู้ซื้อ 1 ราย กับ ผู้ขาย 20 รายนั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน หรือเป็น “กลุ่มขบวนการ” เดียวกัน

 

ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรนั้น คงต้องมีการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง  และ จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด สำหรับแนวทางการทำคดีได้สั่งให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะทำงานสอบสวนกลาง ร่วมกันระหว่าง บก.ปอศ. หรือ กองปราบ และ บก.ปอท. เพื่อดึงเอาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน มาช่วยกันพิสูจน์ทราบแสวงหาข้อเท็จจริง และจากนี้จะมีการเชิญตัวผู้เกี่ยวข้อง พยานบุคคลต่างๆ มาให้ปากคำชี้แจง

 

…ใครก็ตามที่เป็นพวกหากินบนความเดือดร้อนของคนอื่น ต้องกระชากหน้ากากมันออกมา เอาตัวมาดำเนินคดี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป...