“นิพนธ์”แจงด่านเชื่อมไทย-มาเลย์ เหลือแค่กำหนดจุดค่าพิกัด

02 มิ.ย. 2565 | 23:16 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มิ.ย. 2565 | 06:19 น.

“นิพนธ์”แจงด่านเชื่อมไทย-มาเลย์ เหลือแค่กำหนดจุดค่าพิกัดดันเป็นแหล่งศก.การค้า รอโกยเงิน ส่วนสำรวจออกโฉนดที่ดิน แก้ปัญหาชาวบ้านแล้ว 2.87 แสนแปลง 6.8แสนไร่ 

วันที่ 2 มิ.ย. 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงกรณีที่มีการสอบถามเรื่อง ด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาว่า เป็นโครงการของกรมศุลกากร โดยงบประมาณส่วนแรกได้จ่ายค่าผลอาสินให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้กระทบจากด่านเบื้องต้น จำนวน 758 ล้านบาท
 

และต่อมาปี 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ และจัดงบประมาณให้จำนวน 1,532 ล้าน รวมด่านแห่งใหม่ใช้งบประมาณ 2,200 กว่าล้านบาท  และได้ส่งมอบงาน ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนก.ย.2562 ซึ่งสร้างเสร็จแล้วไม่ได้ใช้ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนฯ น.ส.สุภาพร กำเนิดผล ตั้งข้อสังเกต เนื่องจากติดปัญหาเรื่องจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย คือบริเวณที่จุดเชื่อมด่านศุลกากรแห่งใหม่ กับด่านบูกิตกายูฮิตัม ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งตรงนี้ทางพื้นที่ได้มีการเจรจานานพอสมควร เพราะความเห็นเบื้องต้นไม่ตรงกัน 
 

“ผมในฐานะที่เป็นกรรมการพัฒนาชายแดนภาคใต้ (กพต) ก็ได้นำเรื่องนี้เป็นข้อสังเกตในที่ประชุม จนกระทั่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ดูเรื่องดังกล่าว จนเกิดการประชุมร่วมกันระหว่างไทย-มาเลเซีย โดยที่ประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคร่วมฝ่ายไทยมาเลเชียได้กำหนดจุดพรมแดนที่จุดเชื่อมชัดเจนแล้ว คือ BP23/9 - BP 23/10 จะเป็นจุดเชื่อมของถนนแห่งนี้”

 

รมช.มหาดไทย กล่าวต่อว่า จากนั้นจ.สงขลา ได้มอบหมายให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ไปสำรวจออกแบบถนนดังกล่าวจนแล้วเสร็จ และได้นำไปพูดคุยกับคณะกรรมการทางเทคนิคไทย-มาเลเซีย ได้ข้อสรุปในหลายประเด็น อาทิ จุดเชื่อมของถนนเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงค่าพิกัดของจุดเชื่อมเท่านั้นที่ทางมาเลเซียขอเวลาลงไปสำรวจ ออกแบบถนนจุดเชื่อม ขณะที่ส่วนอื่นๆได้ข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน จึงมีความจำเป็นต้องเร่งรัด เพราะด่านนี้เป็นแหล่งเศรษฐกิจถือเป็นการค้าชายแดนที่สูงที่สุดของประเทศไทย เฉลี่ยกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งรองนายกฯจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ได้ไปตรวจและเร่งรัดความพร้อมของด่านมาด้วยแล้ว
 

นายนิพนธ์ ชี้แจงถึงการดำเนินงานของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยว่า กรมที่ดินดำเนินโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเร่งรัดให้ประชาชน และสร้างความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยทางกระทรวงมหาไทยได้กำชับว่า ห้ามเดินสำรวจที่ดินของรัฐทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน เขตป่าถาวร เขตป่าสงวน หรือพื้นที่ สปก.เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมาย สำรวจ 299,605 แปลง ดำเนินการสำรวจแล้ว 287,714 แปลง รวมเนื้อที่ 684,209 ไร่ 
 

ขณะที่ปัญหาที่พบส่วนมากคือปัญหาการชี้แนวเขตที่ดิน ซึ่งต้องระมัดระวังที่จะไม่ไปออกเอกสารสิทธิ์ หรือโฉนดของรัฐทุกประเภท นอกจากนี้กรมที่ดินยังได้จัดทำแอพลิเคชั่นบอกดิน 3 เพื่อให้ประชาชนที่นส.3 หรือ นส.3ก หรือ สค1. สามารถยื่นคำร้องแจ้งรายละเอียดที่ดินที่ทำประโยชน์ผ่านแอพฯได้ 

 

ขณะเดียวกันตนยังได้กำชับให้เร่งตรวจสอบ สค.1 ที่ยื่นคำขอตั้งแต่ปี 2553 จำนวน 4 แสนกว่าแปลง ได้ดำเนินการเสร็จไปแล้วประมาณ สองแสนกว่าแปลงขณะนี้เวลาผ่านมาพอสมควรแล้ว ปัญหาอยู่ที่แนวเขตที่ดินต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ทางกรมที่ดินจะเร่งรัดในเรื่องนี้ต่อไปให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ส่วนที่ดินที่ไม่สามารถนำมาออกโฉนดได้ ก็จะนำกฎหมาย จัดที่ดินให้ประชาชน (คทช) มาใช้ต่อไป