เปิด 15 คำชี้แจง “บิ๊กตู่” ครึ่งแรกปี 64 ศก.โต 1.3%

 วันที่ 17 ก.พ.65  ที่รัฐสภา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปการชี้แจงของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีทั้งหมด 15 ประเด็น 

 

โดยนายธนกรกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมรับฟังการอภิปรายฯ ครั้งนี้ด้วยเหตุผล อะไรที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมรับไปแก้ไขดำเนินการ ทั้งนี้สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหามาตลอด ร่วมงานกับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการทั่วประเทศ แม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง

 

อย่างไรก็ดี หลายท่านมองว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความสามารถ ซึ่งอยู่กับความเชื่อมั่นและผู้ให้ความเชื่อมั่นคือประชาชนทั่วประเทศ ทั้งนี้แม้ว่าฝ่ายค้านจะเคยบอกว่าให้นายกฯวางบทบาทเหมือนรามเกียรติ์ อย่างไรก็ดีประเทศชาติไม่ได้เหมือนเรื่องราวในรามเกียรติ์

ประเด็นแรก กล่าวถึงการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลซึ่งขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลเดิมในปี พ.ศ.2557 เป็นการแต่งตั้งจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 รัฐมนตรีถึง 32 คนเป็นคนใหม่ ประเด็นการขยายเพดานหนี้ ข้าวของแพง ค่าแรงถูก เรามีการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจ

นายธนกรกล่าวว่า สถานการณ์โควิดเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งรัฐบาลต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาทั้งหมดในเชิงโครงสร้าง ทั้งการแก้ไขมาตรการ กฎหมายต่าง ๆ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยสามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอและครบถ้วน จนประเทศไทยได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ การท่องเที่ยวได้มีการแก้ไขปัญหาและจะมีการชี้แจงต่อไป

 

ทั้งนี้รัฐบาลชุดนี้ได้พัฒนาโครงสร้างในภาพรวมมามาก ซึ่งอยากทราบว่ารัฐบาลเก่าๆ ได้พัฒนาโครงสร้างที่เป็นประโยชน์กับประเทศบ้างหรือไม่

 

ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ตอนนี้นายกฯเข้าไปแก้ไขปัญหาราคาเนื้อหมูแล้ว พร้อมชี้แจงและไม่มีการปดปิด อย่างไรก็ดีมีคนเก็บกักเนื้อหมู รัฐบาลจะต้องนำคนผิดมาลงโทษ ทั้งนี้อาหารราคาสูงเป็นไปตามความต้องการของตลาดตามฤดูกาล ซึ่งได้สั่งการให้มีการตรวจสอบต่อเนื่องเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและแก้ไขในทันทีขอให้ทุกคนมาร่วมมือกัน
 

นายธนกรกล่าวว่า ส่วนปัญหาฝุ่น PM 2.5 มีแนวทางการแก้ไขอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติซึ่งจะแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ รัฐบาลไม่ได้ทำงานเพื่อสนองความพึงพอใจเพียงคนบางกลุ่ม ประชาชนทุกคนมีรายได้ต่างกันจะทำอย่างไรให้ปรับตัวได้ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแล นายกฯต้องการให้ประชาชนทุกคนมีความสุข

 

 

ปัญหาการประมงล้มเหลว รัฐบาลต้องการสร้างความเป็นธรรมให้ประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ เยียวยา ต้องการปฏิรูปทั้งระบบ

 

การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น รัฐบาลพร้อมกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอำนาจมากขึ้นและมีรายได้เพียงพอ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน หาเงินเติมให้ ไม่มีการหวงอำนาจ

 

เรื่องยาเสพติด หลายประเทศชื่นชมการทำงานของไทยและเจ้าหน้าที่ ในการดำเนินการในทุกด่านการตรวจสอบและมีการจับกุมทุกวัน

การบริหารทุจริต อย่าพูดประเด็นที่ไม่มีหลักฐาน นายกฯ ยืนยันไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด ทั้งนโยบาย เจตนารมย์ และตัวนายกฯเอง ทุกเรื่องที่มีการกล่าวหา จะมีการชี้แจงอย่างชัดเจน

 

“นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และทุกประเทศประสบปัญหาร่วมกัน ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนได้เกินเป้าหมาย 100 ล้านโดส โดยสำเร็จก่อนเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติ ทำให้เศรษฐกิจไทย 6 เดือนแรกของปีพ.ศ.2564 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี เกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดหมาย ประเทศรอบบ้านมีปัญหาแต่ประเทศไทยทำได้ดีกว่าหลายประเทศ”นายธนกรกล่าว

 

นายธนกรกล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ลดจำนวนลูกหนี้ที่ต้องการขอพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจาก 12.5 ล้านบัญชี เหลือต่ำกว่าครึ่ง หรือกว่า 6 ล้านบัญชี มีการจ้างงานมากขึ้น จำนวนผู้มีงานทำ 37.9 ล้านคน ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ของปีพ.ศ.2564 นักศึกษาจบใหม่ ปีพ.ศ.2563 – 2564 ทำงานในภาคเอกชนกว่า 66.78% ทำงานในภาครัฐ 20% ส่วนที่เหลือประกอบอาชีพอิสระหรือธุรกิจส่วนตัว

 

การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว มีการเปิดกิจการใหม่ในปีพ.ศ.2564 มากกว่าบริษัทที่ปิดกิจการกว่า 4 เท่าตัว ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงขึ้นกว่า 600,000 ล้านบาท ดีกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 การขอรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 2,339 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7.7 แสนล้านบาท กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ การส่งออกปีพ.ศ.2564 ดีขึ้นมาก มีมูลค่ารวม 8.5 ล้านล้านบาท

 

ตัวอย่างการลงทุนที่สำคัญ Cloud Service โครงการผลิตอาหารสัตว์ชีวภาพ ทั้งนี้นายกฯพบภาคเอกชน และรับทราบว่าภาคเอกชนพอใจการปรับปรุงมาตรการของไทยเพื่อให้นักลงทุนมาร่วมลงทุน และไม่ใช้การเอื้อประโยชน์หรือขายทรัพยากรชาติ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและตามข้อตกลง

 

การจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังของประเทศไทยจากทั้ง 3 สถาบันจากการจัดอันดับโลก ได้แก่ S&P, Fitch Ratings และ Moody’s ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ BBB+ และอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ภาคการเงินการคลังของไทยยังเข้มแข็ง และมีความน่าเชื่อถือในระดับสูง ถึงแม้มีการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมาย สำคัญที่สุดคือการที่คนไทยได้มีความสุขในการฉลองปีใหม่ปีพ.ศ.2565 เป็นครั้งแรกในรอบ 24 เดือน ซึ่งมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความสมดุลทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจควบคู่กัน

 

ด้านมาตรการสาธารณสุข ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 5 ของโลกในประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ ดัชนี Global Health Security Index (GHS) ปี 2021 และประเทศไทยฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นอันดับ 2 ของโลกและอันดับ 1 ของเอเชีย

ปัญหาเงินเฟ้อ เกิดจากความต้องการที่มากขึ้นจากการฟื้นตัวของโลก ราคาพลังงานแพงขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รัฐบาลพยายามเต็มที่ในการดูแลราคาปัจจัยการผลิตที่มีผลกับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค มีการเตรียมการอย่างเป็นระบบและการสั่งการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
ซึ่งในปีพ.ศ.2565 ประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายประเทศใช้ประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ประเทศไทยเตรียมยา วัคซีน และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ มีแผนในการเผชิญหน้าและแผนอนาคต เป็นการทำงานร่วมกันของทุกพรรคในฝ่ายรัฐบาลควบคู่กับการ แก้หนี้ภาคครัวเรือน มีการสร้างงาน สร้างอาชีพ จัดทำโครงสร้างหนี้ เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ครู และหนี้ข้าราชการ ซึ่งมีการแก้ไขแล้วและเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ต้องครอบคลุมการเป็นหนี้ทุกรูปแบบ ลดอุปสรรคการเข้าถึงเงินทุน ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาทุกมิติ ทั้งนี้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะชี้แจงต่อไป

 

รัฐบาลจะไม่มีความสุขหากประชาชนไม่มีความสุขจึงมีการจัดโครงการเพื่อประชาชน เยียวยาประชาชน เสริมชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่ง ทั้งนี้ความสุขความพอใจอยู่ที่การบริหารและงบประมาณที่มี ซึ่งต้องทำควบคู่กันไป ทั้งนี้หากมีโครงการไหนที่ไม่ชอบ ขอให้ฝ่ายค้านพูดในสภาฯได้เลย
มาตรการทางสังคม สังคมไทยอ่อนไหวต้องทำให้เข้มแข็ง ตอบสนอง อย่าให้สังคมอ่อนแอ ความรักและความ สามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ จากสถานการณ์ต่างประเทศ ชาติ ศาสนา พหุวัฒนธรรม และสถาบันมีความแตกต่างกันในทุกประเทศ เราควรนำปัจจัยทุกอย่างในประเทศนำมาเสริมสร้างความสามัคคีไม่ใช่ความแตกแยก นายกฯกังวลความแตกแยกในสังคม แม้จะชินจากคำพูดที่หยาบคาย ความรุนแรง การฝ่าฝืนกฎหมาย และด่าทอเจ้าหน้าที่

 

แผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติต่อเนื่อง โมเดลเศรษฐกิจใหม่ “BCG” B คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) C คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circula Economy) G คือ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) จะไม่เพียงมองแค่การลด PM 2.5 ต้องมองไปถึงสังคมคาร์บอนต่ำ ขอให้พิจารณาตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งเริ่มทำในรัฐบาลนี้