ร้องดีเอสไอฟัน บิ๊กการเคหะฯ-บอร์ดยกชุด  ส่งคนเข้ายึดโครงการข้อพิพาท   

20 ม.ค. 2565 | 16:21 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ม.ค. 2565 | 23:30 น.

ร้องดีเอสไอฟัน บิ๊กการเคหะฯ-บอร์ดยกชุด  บริษัท เพียงประกายก่อสร้างจำกัด บริษัทผู้ร่วมทุน อ้างดอดส่งคนเข้ายึดโครงการข้อพิพาท-แสวงประโยชน์ชัดเจน   

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา นายประสิทธิ์ เด่นนภาลัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพียงประกายก่อสร้างจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนกับการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ได้เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการบริหารกคช.และการเคหะแห่งชาติ โดยมี พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีหล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้รับหนังสือ

 

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก บริษัทและ กคช.ได้ทําสัญญาร่วมทุนดําเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร “เทพารักษ์4  จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตามสัญญากําหนดให้บริษัทจัดหาที่ดิน เงินทุนและดําเนินการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยจำนวน 125 อาคาร รวม  5,830 หน่วย บนเนื้อที่รวม 125 ไร่ มูลค่าลงทุนกว่า 2,448 ล้านบาท แต่ในระหว่างการดำเนินการบริษัทได้รับแรงกดดันจากการแสวงหาประโยชน์ของบอร์ด กคช.และกลุ่มบุคคลภายในการเคหะฯ ในหลายรูปแบบ

ร้องดีเอสไอฟัน บิ๊กการเคหะฯ-บอร์ดยกชุด  ส่งคนเข้ายึดโครงการข้อพิพาท   

อาทิ การบีบบังคับให้บริษัทฯซื้อที่ดินที่ไม่มีทางออกที่อยู่ติดกับโครงการ ซึ่งคณะกรรมการได้ติดต่อประสานกันไว้แล้ว หรือการบีบบังคับให้แก้ผัง แก้แบบแปลนจากผังทิศใต้ เป็นผังทิศเหนือ หรือนำเอากลุ่มบุคคลรับเหมาจากภายนอกเข้ามาร่วมแสวงหาประโยชน์จากโครงการ โดยเฉพาะการนำเอา หจก.ศรีเอี่ยมการโยธาเข้ามาเป็นคู่สัญญารับเงินจากโครงการแทนบริษัท เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขนอกสัญญาดังกล่าว  ไม่เช่นนั้นจะถูกกลั่นแกล้ง

ร้องดีเอสไอฟัน บิ๊กการเคหะฯ-บอร์ดยกชุด  ส่งคนเข้ายึดโครงการข้อพิพาท   

ต่อมาคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติได้ใช้อํานาจโดยมิชอบ กลั่นแกล้งบริษัทโดยอ้างสิทธิตามสัญญา และบีบบังคับให้บริษัทฯปรับลดหน่วยการก่อสร้างโครงการลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของสัญญาเดิม(125 อาคาร) ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนก่อสร้างต่อหน่วยที่สูงขึ้นมาก จนยังผลให้บริษัทได้รับความเสียหายและได้รับผปลกระทบอย่างหนักจน ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ตามสัญญา

ด้วยเหตุนี้บริษัท จึงไม่มีหนทางเลือกอื่นนอกจากดำเนินการยื่นฟ้อง หจก.ศรีเอี่ยมการโยธาและการเคหะแห่งชาติ เป็นจําเลยในคดีแพ่ง และนําเสนอเอกสารหลักฐานเพื่อให้ศาลพิจารณาว่า มีการทุจริตในระหว่างการดำเนินโครงการโดยการเคหะแห่งชาติและกลุ่มุบคคลที่เกี้ยวข้องจริง ซึ่งศาลแพ่ง ได้มีคําพิพากษาถึงที่สุดให้การเคหะแห่งชาติ(กคช.) แพ้คดีตามคำพิพากษาคดีแดงที่ 5988/2552 

โดยให้เหตุผลว่า”การเคหะแห่งชาติได้บีบบังคับให้บริษัทฯนําหจก. ศรีเอี่ยมการโยธา เข้ามาเป็นผู้รับเงินจากโครงการแทนบริษัทจริง อันเป็นการกระทำตามที่บอร์ด กคช.บางคนต้องการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ จนเกิดเป็นข้อพิพาทระหว่างบริษัท ฯ และการเคหะแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง จนโครงการไม่สามารถดําเนินการต่อไปได้นับแต่ปี พ.ศ.2552 เป็นต้นมา และกลายเป็นคดีพิพาทที่ยังคงอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทนังอยู่ระหว่างเตรียมการฟ้องเรียกคืนที่ดินจำนวน 125 ไร่จาก กคช.ตามสัญญาและตามสัญญาร่วมลงทุน ดังนั้น บริษัทยังคงเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวอยู่  เนื่องจากยังมีคดีความฟ้องร้องระหว่างกันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลปกครองสูงสุด

 

                อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี 2564 ที่ผ่านมา การเคหะ ฯ ได้กระทําการโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อบริษัทฯ โดยการขอเข้าใช้พื้นที่โครงการบางส่วน เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าการเคหะฯ เป็นผู้ครอบครองพื้นที่โครงการ แต่บริษัทไม่อนุญาต หลังจากนั้น การเคหะฯโดยคณะกรรมการบริหาร และเจ้าหน้าที่บางคน ได้ส่งเจ้าหน้าที่และกลุ่มบุคคลเข้ายึดพื้นที่บางส่วนของโครงการ

เพื่อดำเนินการปรับปรุงอาคาร แม้บริษัทจะทักท้วงและยืนยันไม่อนุญาตก็ตาม  จึงทำให้บริษัทจำเป็นต้องร้องทุกข์ดําเนินคดีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกเข้าพื้นที่ทั้งหมดในข้อหาร่วมกันบุกรุกฯและทําให้เสียทรัพย์ ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวนของ สภ.บางพลี แต่กระนั้น การเคหะ ฯ ก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมการบุกรุก โผดยยังคงให้บุคคลซึ่งแสดงตัวอย่างเปิดเผยเข้าครอบครองพื้นที่อาคารบางส่วนของโครงการเพื่อดำเนินการปรับปรุงอาหาร

หวังจะเปิดจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป โดยบริษัทไม่สามารถขัดขวางได้เลย แม้บริษัท ฯ จะนําป้ายไปปิดประกาศในพื้นที่เพื่อสงวนสิทธิตามกฎหมายก็ตาม แต่ก็กลุ่มบุคคลทุบทําลาย โดยบริษัทรับทราบมาว่าหากการเคหะฯ มีแผนจะดำเนินการปรับปรุงอาคารบางส่วนให้แล้วเสร็จและจะนำเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปภายในสิ้นเดือนนี้  ซึ่งจะยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงการและอาจสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่หลงเชื่อเข้ามาซื้อโครงการไม่รู้เรื่องราวด้วย 

ด้วนเหตุนี้บริษัทฯจึงไม่มีหนทางใดที่จะช่วยเหลือตนเองได้นอกจากต้องขอความเป็นธรรมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดำเนินคดีต่อการเคหะแห่งชาติ ,คณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ และกลุ่มบุคคลอื่นใดที่สมคบกันในการกระทําความผิดในครั้งนี้อย่างถึงที่สุด เพื่อดํารงไว้ซึ่งหลักการนิติรัฐ นิติธรรม และนําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ทุจริต รวมทั้งผู้สมคบ ตัวการและผู้ร่วมกระทําความผิดทั้งหมด มาลงโทษตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป

ร้องดีเอสไอฟัน บิ๊กการเคหะฯ-บอร์ดยกชุด  ส่งคนเข้ายึดโครงการข้อพิพาท