“รังสิมันต์ โรม”โวยถูกฟ้อง 3 คดีหลังจบศึกซักฟอก ลั่นพร้อมพิสูจน์ในศาล

07 พ.ย. 2564 | 14:33 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2564 | 21:39 น.

“รังสิมันต์ โรม”โวยถูกฟ้อง 3 คดีหลังจบศึกซักฟอก ชี้เป็นการสกัดฝ่ายค้านทำงาน เชื่อจะชนะคดี เหตุได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และพร้อมพิสูจน์ในศาล

 

วันนี้(7 พ.ย.64) ที่อาคารอนาคตใหม่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบสัมปทานไทยคม และกรณีที่ บริษัท กัลฟ์ เอเนอร์จี เดเวลลอปเมนท์ จำกัด มหาชน ยื่นฟ้องพรรคก้าวไกลจากกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เป็นเงินจำนวน 100 ล้านบาท

 

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( ดีอีเอส ) กรณีสัมปทาน บริษัทไทยคม ทำให้มีการฟ้องร้องตามมาทั้งหมด 3 คดี

คดีเเรก เป็นคดีอาญา ฟ้องต่อพรรคก้าวไกล ในฐานะที่เผยเเพร่การอภิปรายไม่ไว้วางในครั้งนั้นในข้อหาหมิ่นประมาทโดยโฆษณา

 

คดีที่ 2 ฟ้องต่อตนในคดีอาญา ในฐานะผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายชัยวุฒิ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากนำการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรไปเผยเเพร่ต่อ

คดีที่ 3 เป็นคดีเเพ่ง เป็นการฟ้องละเมิดต่อพรรคก้าวไกล โดยเรียกค่าเสียหายมูลค่า 100 ล้านบาท

 

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีที่ของตนไม่ใช่กรณีเเรกที่ถูกกัลฟ์ฟ้อง ก่อนหน้านี้ นางสาวเบญจา เเสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็เคยถูกฟ้องหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเช่นเดียวกัน

 

“การฟ้องร้องดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะสิ่งที่ผม เเละ พรรคก้าวไกล ได้ดำเนินการคือ บทบาทหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ผลกระทบตามมา คือ ในอนาคตใครก็ตามที่พยายามทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งเป็นเวทีใหญ่ที่สุด หากไม่สามารถพาดพิงถึงบุคคลภายนอกได้ ก็จะไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้เลย เพราะการตรวจสอบกรณีทุจริตคอร์รัปชันและความผิดพลาดเชิงนโยบายของรัฐบาล ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกทั้งสิ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นในการอภิปรายที่จะต้องพาดพิงถึงบุคคลภายนอก”

 

นายรังสิมันต์ ย้ำว่า เเต่สิ่งที่ตรวจสอบ เรามุ่งไปที่รัฐบาล หากโดนฟ้องดำเนินคดีไปเรื่อยๆ สิ่งที่จะตามมาก็คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำไม่ได้ เท่ากับถูกสกัดที่มาในรูปแบบการฟ้องดำเนินคดีเช่นนี้

 

“สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นสัญญาไทยคม ในวันนั้น เรามีจุดมุ่งหมายในการมุ่งตรวจสอบรัฐมนตรี แน่นอนเราไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้กล่าวถึงและพาดพิงบุคคลภายนอก หรือ กลุ่มบริษัทข้างนอก แต่การพาดพิงดังกล่าว เพื่อแสดงให้เห็นว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการดิจิตอลฯ มีพฤติกรรมเอื้อต่อกลุ่มทุนอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มทุนข้างนอกจะรู้เห็นด้วย อาจจะรู้เห็นหรือไม่รู้เห็นก็ได้ แต่เรามีจุดมุ่งหมายมุ่งไปที่รัฐบาล” นายรังสิมันต์ กล่าว

 

นายรังสิมันต์ ย้ำด้วยว่า ถึงเเม้ตนและพรรคก้าวไกลจะโดนดำเนินคดี โดนฟ้องร้องทั้งคดีอาญาเเละคดีเเพ่งที่มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะชนะคดี เพราะได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มั่นใจว่าในท้ายที่สุดจะสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมในการพิสูจน์ให้เห็นว่า เราทำหน้าที่ฝ่ายค้านและมีความจำเป็นจะต้องทำหน้าที่เช่นนี้ หากมีการพาดพิงบุคคลภายนอก ท่านสามารถใช้สิทธิในอธิบาย หรือ ชี้เเจงต่อสังคมได้อยู่แล้ว แต่หากมาถึงจุดที่มีการฟ้องคดีก็ต้องไปพิสูจน์กันในศาลต่อไป”