ตำรวจเตือน! ยิงปืนขึ้นฟ้าคือฆาตกร เจอ 3 ข้อหาหนัก ขู่จัดห้องขังรอทั่วประเทศ

31 ธ.ค. 2567 | 17:35 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ธ.ค. 2567 | 17:35 น.

ตำรวจเตือน! ยิงปืนขึ้นฟ้าคือฆาตกร เจอ 3 ข้อหาหนัก ขู่จัดห้องขังรอทั่วประเทศ หลังสอบสวนกลางโพสเฟซบุ๊กประกาศ ฐานเศรษฐกิจรวบรวมที่มาที่ไปของการยิงปืนขึ้นฟ้าไว้ให้แล้วที่นี่

เพจเฟซบุ๊กตำรวจสอบสวนกลาง โพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับการฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้า โดยระบุว่า ปีใหม่นี้ ยิงปืนขึ้นฟ้า = ฆาตกร 

พ่วง 3 ข้อหาหนัก เตรียมห้องขังพร้อม 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศแล้ววันนี้

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" เกี่ยวกับการยิงปืนขึ้นฟ้าพบว่า

ที่มาการยิงปืนขึ้นฟ้า ช่วงปีใหม่

ประเพณีการยิงปืนขึ้นฟ้านี้มีรากฐานเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในอดีต ไม่ใช่เพียงแค่การเฉลิมฉลอง แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อและการแสดงออกของมนุษย์ในยุคก่อน
 

ในอดีต ช่วงเวลาคริสต์มาสไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นและความสุขอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่มันเป็นช่วงเวลาที่มีการปล่อยให้ผู้คนได้ทำอะไรตามใจชอบด้วย ในช่วงยุโรปยุคโบราณชนชั้นสูงมัก ยอมให้คนยากจนมีโอกาสทำสิ่งที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นักในช่วงเทศกาล เพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกเก็บกดเกินไป ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมเหล่านั้นคือการจุดดอกไม้ไฟ และทำเสียงดัง

ส่วนบางคนเลือกใช้วิธีที่ตื่นเต้น เช่น การยิงปืนเพื่อสร้างเสียงดังแทน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกองทัพ พวกเขามีจะมีปืน และการยิงปืนนี้จะดำเนินไปตลอดช่วงเทศกาล และอาจยิงทุกวันจนสิ้นสุดวันปีใหม่ และเมื่อผู้อพยพจากยุโรปเดินทางมายังอเมริกา พวกเขาก็นำประเพณีนี้มาด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีความพยายามในการรณรงค์ให้คริสต์มาสกลายเป็นเทศกาลที่สำหรับครอบครัวมาก การยิงปืนขึ้นฟ้าจึงถูกมองว่าไม่เหมาะสม และผิดกฎหมายร้ายแรงอีกด้วย

ส่วนในภูมิภาคอื่นของโลก อย่างตะวันออกกลาง หรือเอเชีย การยิงปืนขึ้นฟ้าก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเช่นกัน ในเลบานอน อัฟกานิสถาน และปากีสถาน ผู้คนมักจะยิงปืนเพื่อเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญต่างๆทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการถูกลูกหลงในหลายประเทศ เช่น ในเลบานอน มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 7 คนต่อปีจากการกระทำนี้

ยิงปืนขึ้นฟ้าในไทย

ในสมัยรัชกาลที่ 4 การยิงปืนถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่ใช้ในหลายบริบทของชีวิตในวังหลวง หนึ่งในนั้นคือการยิงปืนเพื่อส่งสัญญาณเปิดประตูวังในยามพระอาทิตย์ขึ้น การยิงปืนยังมีบทบาทสำคัญในการแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ในเขตพระราชฐาน โดยจะยิงปืนหลายนัดติดต่อกันจนกว่าไฟจะดับสนิท หากเกิดเหตุในเขตพระนคร จะยิงสัญญาณ 3 นัด และหากเพลิงไหม้นอกเขตพระนคร จะยิงเพียงนัดเดียวเพื่อแจ้งให้ทราบ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 การยิงปืนถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใหม่ คือการบอกเวลาเที่ยงวัน โดยใช้ปืนใหญ่จากป้อมที่ตั้งอยู่รอบพระบรมมหาราชวัง อย่างไรก็ตาม เสียงปืนใหญ่ดังกล่าวมักได้ยินเฉพาะในเขตพระนคร ทำให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถรับรู้เวลาได้อย่างแม่นยำ จนกลายมาเป็นสำนวนที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า "ไกลปืนเที่ยง" ซึ่งเปรียบเปรยถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากความเจริญ

นอกจากนี้ การยิงปืนในสมัยนั้นยังมีความหมายในเชิงพิธีการ โดยเฉพาะการยิงสลุตซึ่งเป็นการแสดงความเคารพหรือถวายพระเกียรติในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานพระบรมศพ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา และพิธีต้อนรับประมุขจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งประเพณีที่น่าสนใจเกี่ยวกับการยิงปืนคือการยิงปืนอัฏตนา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ายิงปืนไล่ผี โดยจะจัดขึ้นระหว่างที่พระสงฆ์สวดอาฏานาฏิยสูตรในช่วงพระราชพิธีตรุษสงกรานต์ วันสิ้นปีตามปฏิทินจันทรคติ การยิงปืนในพิธีนี้มีจุดประสงค์เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายและทำให้เหล่าภูตผีปีศาจหวาดกลัว ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่าด้วยการปัดเป่าความโชคร้ายเพื่อเตรียมต้อนรับปีใหม่อย่างเป็นมงคล

แม้การยิงปืนขึ้นฟ้าจะมีรากฐานมาจากประเพณีและความเชื่อในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้กลับกลายเป็นการแสดงออกที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะทุกครั้งที่กระสุนถูกยิงขึ้นฟ้า มันต้องตกลงมาสู่พื้นดิน และอาจก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น