มาสด้าปรับโครงสร้างการขายรถยนต์ครั้งใหญ่ เน้น One Price Policy ใช้โปรโมชันเดียวกันทั้งประเทศและหันไปผลักดันโปรแกรมบำรุงรักษา MAZDA ULTIMATE SERVICE (เปรียบได้กับ BSI ของ BMW) พร้อมใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ Sky Journey ดูแลการขาย การติดตามลูกค้า เอื้อดีลเลอร์ไม่ต้องลงทุนสต๊อกรถไว้ขาย
จากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิตรถยนต์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ถึงวันนี้สถานการณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ ต้องจับตาแบบวันต่อวัน เพื่อนำมาประเมินแผนการผลิต และการส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้า มาสด้า เป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้ และปรับเป้ายอดขายลดลงมาเรื่อยๆ จากเดิมในปี 2565 ตั้งใจว่าจะขายถึง 4.5 หมื่นคัน แต่เมื่อผ่านครึ่งปีหลัง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ลดตัวเลขลงมาเหลือ 4.0 หมื่นคัน
ล่าสุด มาสด้าหวังขายให้ได้ 3.5 หมื่นคัน เทียบเท่ากับยอดขายในปี 2564 ตามสภาพความเป็นจริง โดยรุ่นที่ยอดขายลดลงชัดเจนคือ Mazda 3 และ Mazda CX-5 ส่วนรุ่นขายดีอย่าง Mazda CX-3, Mazda CX-30, Mazda 2 ที่ผ่านมายังติดขัดเรื่องปัญหากำลังการผลิตเช่นกัน
สำหรับมาสด้า ทำยอดขาย 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค. 65) ได้ 28,900 คัน เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราเติบโตตํ่ากว่าตลาดรวมที่มีจำนวนกว่า 6.9 แสนคัน เพิ่มขึ้น 17% ส่วนหนึ่งมาจากยอดขายมาสด้าในเดือนตุลาคม 2565 ที่เหลือเพียง 905 คัน จากที่เคยทำได้เฉลี่ย 3,000 คันต่อเดือน
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาชิปยังมีความซับซ้อน ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์ในจีนที่รัฐบาลใช้มาตรการ Zero Covid ทำให้การผลิตชิ้นส่วนไม่สามารถดำเนินการได้เป็นปกติ จนกระทบกับหลายโรงงานผลิตรถยนต์ เช่นเดียวกับ เอเอที จ.ระยอง (ที่ผลิตมาสด้า และฟอร์ด)
“สถานการณ์นี้ยังกระทบกับยอดขายในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นมาสด้าจึงปรับเป้าหมายการขายรวมในปีนี้ลงมาเหลือ 3.5 หมื่นคัน หรือทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2564”
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ Carbon Edition 4 รุ่นคือ Mazda 2, Mazda 3, Mazda CX-3, Mazda CX-30 ที่ได้รับการตกแต่งพิเศษทั้งภายนอก-ภายใน (เพิ่มราคาจากรุ่นปกติ 10,000-12,000 บาท) บริษัทมีรถพร้อมส่งมอบทันที ด้วยจำนวน 1,500 คัน
นายธีร์ กล่าวว่า แม้ยอดขายจะได้รับผลกระทบ แต่บริษัทยังวางแผนเรื่องบริการหลังการขายเพื่อสร้างรายได้ให้ดีลเลอร์ รวมถึง มาสด้าปรับแผนงานต่างๆ เช่น การนำระบบปฏิบัติการ Sky Journey มาใช้เพื่อติดต่อและติดตามลูกค้าเพื่อเข้ารับบริการ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อรักษาลูกค้าในระยะยาว พร้อมเสริมธุรกิจรถยนต์มือสองคุณภาพดี CPO รองรับกับราคาขายต่อที่เพิ่มมูลค่ารถคันเดิมของลูกค้าให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ มาสด้ายังมีสต๊อกรถกลาง นั่นหมายถึงดีลเลอร์จะไม่ต้องสต๊อกรถก็ได้ ซึ่งเป็นการลดตุ้นทุนในการดำเนินงานของดีลเลอร์ไปในตัว ทว่าดีลเลอร์รายไหนยังต้องการถือสต๊อกเพื่อความคล่องตัว สามารถทำได้เช่นกัน
ล่าสุดเปิดโปรแกรมคุ้มครอง และดูแลรถตลอดระยะเวลา 5 ปี MAZDA ULTIMATE SERVICE (MUS) ที่เป็นการมอบสิทธิพิเศษด้านการ บริการหลังการขายครั้งแรกของบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น โดยครอบคลุมลูกค้าที่ซื้อรถยนต์มาสด้าใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ทั้ง Mazda 3, Mazda CX-3, Mazda CX-30, Mazda CX-5 และ Mazda CX-8
“โปรแกรมนี้เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่มาสด้าจัดขึ้นเพื่อให้ลูกค้าหมดความกังวลกับค่าใช้จ่ายในการคุ้มครอง และได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า ผ่านโชว์รูม-ศูนย์บริการ 138 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ตัวดีลเลอร์ผู้ให้บริการจะได้รับเงินจากแพกเกจนี้ไปเต็มๆ ในอัตราที่สูงสุด” นายธีร์ กล่าวสรุป