ฟอร์ดปลดพนักงาน 3,000 ตำแหน่ง ปรับสายการผลิตมุ่งรถ EV

23 ส.ค. 2565 | 06:03 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2565 | 13:17 น.
3.6 k

ฟอร์ด ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐ ประกาศลดพนักงานถึง 3,000 ตำแหน่งเพื่อปรับสายการผลิตสู่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปีค.ศ. 2030 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของฟอร์ดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor Co.) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ประกาศลดพนักงานฝ่ายสำนักงานและบริหารจำนวน 3,000 ตำแหน่ง เพื่อลดต้นทุนและปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตรถยนต์จากรถยนต์แบบใช้เชื้อเพลิงไปเป็น รถยนต์ไฟฟ้า

 

ผู้บริหารของฟอร์ดประกาศเรื่องนี้เมื่อวันจันทร์ (22 ส.ค.) ผ่านทางอีเมลที่ส่งให้พนักงาน โดยระบุว่าตำแหน่งที่จะถูกตัดนั้นเป็นพนักงานเต็มเวลา 2,000 คน ซึ่งคิดเป็น 6% ของจำนวนพนักงานสำนักงานทั้งหมดของฟอร์ดที่มีอยู่ 31,000 คนในอเมริกาและแคนาดา และพนักงานชั่วคราวอีก 1,000 คน

 

อย่างไรก็ตาม พนักงานฝ่ายผลิตที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรถยนต์จำนวน 56,000 คนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้ ซึ่งมีขึ้นในขณะที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลก จากที่เคยผลิตรถยนต์ซึ่งใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมมายาวนานกว่า 100 ปี

พนักงานฝ่ายผลิตที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรถยนต์จำนวน 56,000 คนจะไม่ได้รับผลกระทบ

ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของฟอร์ดเคยเปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายปรับโครงสร้างเพื่อลดต้นทุนในการผลิตรถยนต์ลง 3,000 ล้านดอลลาร์ภายในปีค.ศ. 2026 โดยได้มีการลดจำนวนพนักงานทั้งในยุโรป เอเชีย และอินเดียไปแล้ว

 

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ปัจจุบัน รัฐบาลทั่วโลกต่างกำลังผลักดันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับฟอร์ดที่หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดย บริษัทตั้งเป้าว่าภายในปีค.ศ. 2030 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของฟอร์ดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์

นายบิล ฟอร์ด กรรมการบริหาร และนายจิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ระบุในอีเมลที่ส่งให้พนักงานว่า ฟอร์ดจะให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการชดเชยการว่างงาน และช่วยหางานใหม่สำหรับพนักงานที่ถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมด

นอกจากนี้ ซีอีโอของฟอร์ดยังกล่าวด้วยว่า จำนวนพนักงานทั่วโลกของฟอร์ดที่มีอยู่ทั้งหมด 182,000 คนนั้น ถือว่าเป็นจำนวนที่มากเกินไป และจำเป็นต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วในระยะยาว