ดันบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย…นักวิชาการถามคุ้มไหมกับเม็ดเงินเศรษฐกิจที่ได้?

13 ธ.ค. 2564 | 15:08 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ธ.ค. 2564 | 22:32 น.
2.8 k

"รศ.ดร.นวลน้อย" นักวิชาการ ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาฯ ตั้งคำถามการดันบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายของไทย คุ้มไหมกับเม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่ได้

วาระร้อนของรัฐบาล “กาสิโนถูกกฎหมาย” เปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่มองว่าจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศปีละ 4 ล้านล้านบาท

ภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมาย มาตรการในการป้องกัน แก้ไขปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย การแพร่ระบาดของตู้เกมพนันไฟฟ้า การพนันออนไลน์ โดยให้ใช้เวลาศึกษาทั้งสิ้น 90 วัน

 

โดยมีการแต่งตั้งอนุ กมธ.ฯ 4 คณะ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับปัญหาคาสิโนในประเทศ  ศึกษาเกี่ยวกับกาสิโนประเทศเพื่อนบ้าน  ศึกษาเกี่ยวกับคาสิโนต่างประเทศ และ ศึกษาผลกระทบต่อสังคม

ฝั่งนักวิชาการที่ศึกษาปัญหาการพนัน อย่าง รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผ.อ.ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการที่ทำเรื่องธุรกิจใต้ดิน กาสิโน บ่อนการพนันมาอย่างยาวนาน

ไม่ได้เห็นด้วยกับการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นการประเมินรายได้จากกาสิโน 4 ล้านล้านบาท เพราะจากการประเมินกิจกรรมเหล่านี้ทุก 2 ปี โดยเฉพาะปี 2564 กาสิโนที่มีการลักลอบเล่นรวมทั้งเล่นทางออนไลน์เฉพาะวงเงินที่เล่นประมาณ 2 แสนล้านบาท 

 

“ถ้าปักธงว่าจะเปิดไม่เห็นด้วยที่บอกว่ามีการประเมินรายได้จากกาสิโน 4 ล้านล้านบาท เราประเมินกิจกรรมเหล่านี้ทุก 2 ปี เฉพาะวงเงินที่เล่นประมาณ 2 แสนล้านบาท หากคิดเป็นภาษีแบบภาษีหรือคิดจีดีพีจะน้อยกว่านี้เยอะ พอไปคิดภาษีก็จะน้อยกว่านั้น ถ้าได้ภาษี 4 ล้านล้านบาทจากกาสิโน วงเงินหมุนเวียนมหาศาลขนาดไหน คิดไม่ออกเลยว่าตัวเลขนี้มาได้อย่างไร เพราะว่าตอนเราทำประเมินทุก 2 ปี การเปลี่ยนแปลงคนเล่นกาสิโนลักลอบเล่นและออนไลน์ ประมาณ 5 ล้านคนเท่านั้น ที่จะเยอะคือสลากกินเเบ่งรัฐบาลกับหวยใต้ดิน น่าจะซัก 20 ล้านคน ถ้าคาดว่าจะใหญ่โตมโหฬารหมายถึงต้องไปกระตุ้นผู้คนมาเล่นแบบใหญ่โต คราวนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” 

 

รศ.ดร.นวลน้อย ยังต้องคำถามว่าคือถ้านักท่องเที่ยวไม่มาจะทำอย่างไร เพราะประเทศอื่นเจอมาเเล้ว ต้องการให้นักท่องเที่ยวมาเเต่ไม่มา จึงต้องชักชวนคนในประเทศให้เล่น เเล้วก็สร้างผลกระทบมากมาย  ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยฝันคืออดีตที่ยังไม่ค่อยมีกาสิโน โลกเปลี่ยนไปเเม้เเต่นักท่องเที่ยวหลังโควิดจะทำอย่างไรให้กลับมาก่อนช่วงเกิดโควิด

 

ต่อคำถามที่ว่าถ้านโยบาลของรัฐสภาที่กำลังสร้างกาสิโนให้เป็นคอมเพล็กโดยมีเป้า 2 ชุดคือดึงนักท่องเที่ยวเข้าบ้านเรา เเละเข้ามาในสถานบันเทิงผ่านระบบกาสิโน เหมาะสมหรือไม่ในเชิงวิชาการเเละจริยธรรม ศีลธรรม

 

"หลายเรื่องป็นเรื่องที่วาดฝันเอา" รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวและอธิบายให้เห็นภาพว่า เพราะบริบทกาสิโนเปลี่ยนไปมากในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญเอเชียโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่สำคัญคือจีน ที่จะมาเล่น ชาติอื่นไม่ได้ให้สนใจเท่าไหร่นัก เเต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องถามนโยบายจีนเหมือนกัน เพราะก็มีการเปลี่ยนเเปลงต่อเรื่องคนออกไปเล่นกาสิโนนอกประเทศ อย่างมาเก๊าไม่ให้ออกไปเล่นนอกประเทศ อีกอย่างกาสิโนที่เปิดส่วนใหญ่ก็ต้องการดึงนักท่องเที่ยวจีน เเต่คนที่ตั้งใจมาเล่นจริงน่าจะมีจำนวนนึง ส่วนอื่นก็จะเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป

 

“ถ้าจะเปิดกาสิโนแบบคอมเพล็กไม่ควรจะเปิด แต่เปิดเฉพาะพื้นที่ เช่น ใช้เเอร์พอตอินเตอร์เนชันเเนลจะเหมาะสมกว่า หมายถึงเปิดให้คนที่รอขึ้นเครื่อง คนฆ่าเวลา อยากเปิดก็เปิดไม่มีใครว่า เพราะส่วนใหญ่จะเป็นแบบสล็อตเเมชชีน เเต่ถ้าคิดจะมาเปิดเป็นคอมเพล็กเรื่องใหญ่เเละเงินลงทุนเยอะ ปัญหาเยอะ และเราไม่พร้อม”

 

การบังคับใช้กฎหมายคือเรื่องสำคัญ รศ.ดร.นวลน้อย เน้นย้ำว่ากฎหมายต้องแข็งแรง  ดังที่เห็นอยู่ในตอนนี้คือ เรื่องราคาล็อตเตอรี่ที่ยังขายเกินราคาทั้งที่เป็นสินค้าของรัฐ

 

“ถ้าคิดว่าเปิดก็จะเจอบ่อนเถื่อนทั่วไปหมด ลองกลับไปดูตอนที่ทำหวยจากใต้ดินให้มาอยู่บนดิน คนมาเล่นบนดินไม่ถึงครึ่ง อันนี้ก็แบบเดียวกัน เพราะถ้าไม่ปฏิรูปกฎหมายมันให้แข็งแรงก็เเก้ปัญหาอะไรไม่ได้”

 

ข้อมูลจากศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำรวจความคิดเห็นผู้คนต่อการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายปี 2562 สุ่มตัวอย่างทุกจังหวัดทั่วประเทศเกือบ 4 หมื่นตัวอย่าง พบว่า ไม่เห็นด้วยกว่า 51 % เห็นด้วย 30% คนที่ยังไม่ตัดสินใจ 17-18 % ขณะที่ในปี 2564 สุ่มสำรวจตัวอย่างลดลงเหลือ 7 พันตัวอย่างแบบภาพรวมของประเทศ พบว่าคนไม่เห็นด้วย 50-51% 

 

“ทางรัฐสภาไม่ได้มีการมาขอข้อมูลการสำรวจจาก ถ้ามาขอก็จะให้ เพราะต้องการเปิดเผยตัวเลขที่มีการสำรวจทุก 2 ปี ปี 62 เราทำงานสำรวจใหญ่มาก มีตัวเลขคนไม่เห็นด้วยกว่า 51 % ปี 64 คน ไม่เห็นด้วย 50-51% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างคงที่ และเราไม่ได้ถามคนเดิม”