แพทย์เตือนผู้หญิงปวดท้องต้องตรวจเสี่ยง "โรคช็อกโกแลตซีสต์"

09 เม.ย. 2567 | 14:25 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2567 | 14:25 น.

แพทย์เตือนผู้หญิงปวดท้องต้องตรวจเสี่ยง "โรคช็อกโกแลตซีสต์" ระบุเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มีซีสต์เกิดขึ้นที่รังไข่ แนะอาการไม่ควรมองข้าม ปวดประจำเดือน ,ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

พญ.กรพินธุ์ รัตนสัจธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางมะเร็งสตรีและผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงไทยเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่กันเป็นจำนวนมาก โดยสาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัดแต่เชื่อว่าเกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไหลย้อนกลับไปพร้อมประจำเดือนไปเจริญผิดที่ฝังในบริเวณต่าง ๆ ซึ่งเจริญผิดที่ได้ทั่วร่างกาย แต่ที่พบบ่อยคือที่รังไข่เกิดเป็นช็อกโกแลตซีสต์ มดลูกโต (พังผืดในกล้ามเนื้อมดลูก) และมีอาการแสดงตามมา

สำหรับช็อกโกแลตซีสต์เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ชนิดหนึ่ง โดยมีซีสต์เกิดขึ้นที่รังไข่และมีสีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ อาการที่ทำให้เราสงสัยโรคนี้ จะมีอาการที่สัมพันธ์กับรอบเดือน เช่น ปวด หรือมีเลือดออกผิดปกติช่วงใกล้หรือตอนมีประจำเดือน

ทั้งนี้ ผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องไม่ต้องกังวลกับการพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคช็อกโกแลตซีสต์ แพทย์จะทำการซักประวัติอาการปวดต่าง ๆ ตรวจร่างกายและตรวจภายใน หรืออัลตราซาวด์ประกอบการวินิจฉัยเพื่อความแม่นยำ ไม่ต้องกลัวเรื่องการตรวจ เพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจภายในมีหลายขนาดที่เหมาะสมกับผู้หญิงแต่ละราย รวมถึงมีอุปกรณ์ที่เหมาะกับผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
 

ส่วนแนวทางการรักษา แพทย์จะวินิจฉัยและวางแผนการรักษา เริ่มจากการให้ยารับประทานก่อน ส่วนการผ่าตัดเพื่อนำซีสต์ออกจะใช้กรณีสำรองในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือมีก้อนขนาดใหญ่ 

แพทย์เตือนผู้หญิงปวดท้องต้องตรวจเสี่ยง "โรคช็อกโกแลตซีสต์"

แต่หลังผ่าตัดไปแล้วก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ 10% ต่อปี ถ้าผ่าตัดไปแล้ว 5 ปีก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำสูงถึง 50-70% ดังนั้นหลังการผ่าตัดก็ยังแนะนำให้ใช้ยาป้องกันกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะยา Dienogest ซึ่งมีข้อมูลการใช้ทั้งในประเทศเยอรมนี และญี่ปุ่น

นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และผ่าตัดผ่านกล้อง โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและเจ้าของเพจการแพทย์แปดนาที กล่าวว่า อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ มักมาด้วยอาการปวด ได้แก่ 1.ปวดประจำเดือน ,2.ปวดท้องน้อยเรื้อรัง และ3.ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ดี อาการปวดประจำเดือนไม่ควรมองข้ามเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่คิดว่าการปวดท้องในช่วงที่มีประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่หากอาการปวดประจำเดือนที่เคยเป็นค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น หรือมีปวดร้าวไปบริเวณอื่น เช่น ปวดเวลาปัสสาวะหรืออุจจาระ เป็นต้น 

ส่วนในกรณีปวดท้องน้อยเรื้อรัง อาจมีอาการปวดท้องในขณะที่ไม่มีประจำเดือนอยู่เสมอ ให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีความผิดปกติและมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคได้

ขณะที่อาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์นั้น ผู้หญิงจะรู้สึกเจ็บจี๊ด ปวดลึก เนื่องจากการกระแทกอาจทำให้มดลูกไปโดนรอยโรคและทำให้มีอาการปวดตามมา ในบางกรณีผู้ป่วยมีอาการปวดมากจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวันจนต้องหยุดเรียน หรือหยุดทำงาน

นอกจากนั้น โรคนี้ยังสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก ซึ่งสาเหตุที่ผู้หญิงที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์มีบุตรยากเกิดจากปัญหาด้านโครงสร้างเช่น พังผืด ทำให้อสุจิไม่สามารถผสมกับไข่ได้ นอกจากนี้การเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิง ก็ส่งผลต่อการมีบุตรอีกด้วย ซึ่งพบว่าผู้หญิงที่มีบุตรยากประมาณ 50% มีโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

นพ.โอฬาริก กล่าวอีกว่า การรักษาด้วยยารักษามีให้เลือกหลายแบบ ทั้งยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน แต่การใช้ควรระวัง เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้ตัวโรคแย่ลงได้เช่นกัน ดังนั้น ปัจจุบันการใช้ฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวจึงเป็นที่นิยมซึ่งมีทั้งในรูปแบบฉีดและแบบรับประทาน เช่น ยาฉีดแม้ว่าจะรักษาอาการปวดได้ดีแต่ก็ทำให้น้ำหนักขึ้นและอาจไม่เหมาะในกรณีผู้ที่อยากตั้งครรภ์เนื่องจากยาฉีดจะอยู่ในร่างกายนาน ส่วนยารับประทานเช่น Dienogest ถือเป็นยาที่ได้รับอนุมัติในข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และเป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นยาที่ใช้รักษาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถลดขนาดซีสต์ได้ด้วย ส่วนอาการข้างเคียงก็เป็นที่ยอมรับได้ เช่น เลือดออกกะปริบกะปรอย เป็นต้น

พญ. มาริสา ทศมาศวรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาและผ่าตัดผ่านกล้อง โรงพยาบาลไทยนครินทร์ กล่าวว่า ตราบใดที่ผู้หญิงทุกคนยังมีประจำเดือน โอกาสเกิดโรคนี้ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน และอาการปวดก็เกิดขึ้นได้กับทุกคน การวินิจฉัยที่เร็วจะนำไปสู่การรักษาและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะปัจจุบันการรักษาพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะยาซึ่งผ่านงานวิจัยสำหรับการรักษาโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ