ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ (US CDC) แถลงว่าในช่วงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 - 2 มีนาคม 2567 ประเมินว่า โอมิครอน JN.1 ในสหรัฐ ได้ลดจำนวนลงคิดเป็น 92.3% ที่ระบาดหมุนเวียนในประเทศ ในขณะที่รุ่นลูก JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นร้อยละ 3.3%, 1.8% และน้อยกว่า 1% ตามลำดับ
โอมิครอน JN.1 มีการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั่วโลกได้ 60,602 ราย
โอมิครอน JN.1.13 สุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั่วโลกได้ 226 ราย ส่วนใหญ่พบในสหรัฐอเมริกา (218 ราย)
โอมิครอน JN.1.18 สุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั่วโลกได้ 811 ราย ส่วนใหญ่พบในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ (323 และ 129 รายตามลำดับ)
โอมิครอน JN.1.23 สุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั่วโลกได้ 13 ราย พบครั้งแรกในกลุ่มตัวอย่างที่เก็บเมื่อต้นเดือนมกราคมจากบาเอีย ประเทศบราซิล ตั้งแต่นั้นมาพบในอเมริกาเหนือและออสเตรเลีย
โอมิครอน JN.1.13 และ JN.1.18 มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน (คำนวณจากรหัสพันธุกรรม) ใกล้เคียงกันแต่สูงกว่า JN.1
โอมิครอน JN.1.23 เป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง เพราะมีความสามารถในการ หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน และการเข้าจับกับผิวเซลล์ในส่วนของ ACE-2 สูงที่สุดในปัจจุบัน ทำให้มีความสุ่มเสี่ยงที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและอาจมีการแพร่ระบาดสูงกว่าสายพันธุ์อื่นในอนาคตอันใกล้
โอมิครอน JN.1.23 เป็นสายพันธุ์ใหม่ของ SARS-CoV-2 กำลังดึงดูดความสนใจของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ตรวจพบครั้งแรกในกลุ่มตัวอย่างที่เก็บเมื่อต้นเดือนมกราคมจากบาเอีย ประเทศบราซิล ตั้งแต่นั้นมาก็ปรากฏตัวในอเมริกาเหนือและออสเตรเลียถึง 3 ทวีปอย่างรวดเร็ว
การติดตามการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้จะช่วยในการทำความเข้าใจความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน และในการปรับกลยุทธ์สำหรับการฉีดวัคซีนและการรักษา
ตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่แตกต่างระหว่างโอมิครอน JN.1, JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23
โอมิครอน JN.1.13 มีกรดอะมิโนส่วนหนามต่างจาก JN.1 ไป 2 ตำแหน่งคือ F59S และ A1087S
โอมิครอน JN.1.18 มีกรดอะมิโนส่วนหนามต่างจาก JN.1และ JN.1.23 จำนวน 1 ตำแหน่งคือ R346T
โอมิครอน JN.1.23 มีกรดอะมิโนส่วนหนามต่างจาก JN.1, JN.1.13, JN.1.18 จำนวน 2 ตำแหน่ง คือ K444R และ Y453F
เมื่อพิจารณาคะแนนความสามารถในการหลบเลี่ยงของภูมิคุ้มกันของโอมิครอน JN.1, JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 มีสเกลตั้งแต่ 0-1.6 โดยคำนวณจากรหัสพันุกรรมด้วยโปรแกรมที่พัฒนาโดย ดร.ราช ราชนารายณ์และทีมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
โอมิครอนรุ่นลูก JN.1.13 และ JN.1.18 คำนวณจากรหัสพันธุกรรมพบมีคะแนนความสามารถในการหลบเลี่ยงของภูมิคุ้มกันค่าสูงกว่า 1.5 ซึ่งสูงกว่าโอมิครอนรุ่นพ่อแม่ JN.1 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.3 ทำให้สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนโมโนวาเลนต์ซึ่งใช้โอมิครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบหรือสารตั้งต้น (monovalent XBB.1.5-containing vaccines) ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำและองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (US FDA) เพิ่งผ่านการรับรองให้ใช้เมื่อปลายปี 2566 อันจะส่งผลต่อวัคซีนได้ดังนี้
1. ทำให้แอนติบอดีที่ถูกกระตุ้นด้วยวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB มีความสามารถในการเข้าจับและทำลายโอมิครอนรุ่นลูก JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 ลดลง: ทำให้วัคซีนมีประสิทธิผลน้อยลงในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้
2. มีศักยภาพในการติดเชื้อแบบลุกลาม: บุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB แล้วยังอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำหลังการฉีดวัคซีนจากสายพันธุ์ JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 (breakthrough infection)
3. การปรับแก้วัคซีน: การอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวอาจจำเป็นต้องปรับปรุงสูตรวัคซีนเพื่อรวมเอพิโทปของโปรตีนหนามของ JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 เข้าไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสู้กับสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้ที่กำลังจะแพร่เป็นสายพันธุ์หลักในอนาคตได้
4. ผลกระทบต่อความครอบคลุมของวัคซีน: นโยบายด้านสาธารณสุขอาจจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความครอบคลุมของวัคซีนและขนาดยาต้านไวรัส เพราะโอมิครอน เช่น JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 แสดงให้เห็นสัญญาณเตือนภัยจากไวรัสโควิด-19 ที่สามารถกลายพันธุ์หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB ได้
5. การตอบสนองของทีเซลล์:
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือวัคซีนยังกระตุ้นการตอบสนองของทีเซลล์ (เม็ดโลหิตขาวประเภทหนึ่ง) ที่เข้าทำลายเซลล์ติดเชื้อโควิด-19 ช่วยป้องกันมิให้เกิดโรคโควิด-19 ร้ายแรงได้ แม้ว่าแอนติบอดี (ผลิตจากบีเซลล์) จะมีประสิทธิผลน้อยลงในการจับและทำลายอนุภาคไวรัสในกระแสเลือดก็ตาม
โดยรวมแล้ว คะแนนการหลบหนีของภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นหมายความว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้ผลิตวัคซีนจำเป็นต้องติดตามสายพันธุ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนมาตรการในทุกมิติเพื่อรักษาประสิทธิภาพของวัคซีน
พิจารณาถึงคะแนนการเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์บริเวณ ACE2 มีสเกลตั้งแต่ 0-2.1 คำนวณจากรหัสพันธุกรรมด้วยโปรแกรมที่พัฒนาโดย ดร.ราช ราชนารายณ์และทีมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
คะแนนของส่วนหนามของโอมิครอนในการเข้าจับผิวเซลล์เจ้าบ้านบริเวณ ACE2 คำนวณจากรหัสพันธุกรรมพบว่าโอมิครอนรุ่นลูก JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 สูงกว่าโอมิครอนรุ่นพ่อแม่ JN.1 โดยเฉพาะรุ่นลูกโอมิครอน JN.1.23 มีค่าสูงกว่า 2.0 ในขณะที่โอมิครอน JN.1 มีค่าเพียงประมาณ 1.0 อันอาจส่งผลกระทบหลายประการ
อย่างไรก็ตาม การจับกับ ACE2 ที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่อาจกำหนดความเสี่ยงโดยรวมที่เกิดจากโควิดสายพันธุ์นั้นๆ ปัจจัยอื่นๆ เช่น การหลบหนีของภูมิคุ้มกัน อัตราการเพิ่มจำนวนไวรัสในร่างกาย (viral replication) และความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์ ก็มีบทบาทสำคัญส่งผลกระทบต่อการระบาดของแต่ละสายพันธุ์ด้วยเช่นกัน
การผนวกเอาความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่สูง (immune escape) อันส่งผลให้แอนติบอดีผลิตจากเม็ดเลือดขาวบีเซลล์ (B-cell) ด้อยประสิทธิภาพในการจับและทำลายอนุภาคไวรัสในกระแสเลือด และการเข้าจับผิวเซลล์มนุษย์บริเวณ ACE2 (ACE2 binding ) ที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวทีเซลล์ (T-cell) เข้าทำลายเซลล์ติดเชื้อลดลง มาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการพัฒนาวัคซีนเข็มกระตุ้นและวัคซีนแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ต่อสู้กับโอมิครอนสายพันธุ์ล่าสุด เช่น JN.1.23 ในหลายวิธี
โดยสรุป โอมิครอนกลายพันธุ์อย่างโอมิครอน JN.1.13, JN.1.18, และ JN.1.23 จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการพัฒนาวัคซีนที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นไปที่การอัปเดตวัคซีนที่มีอยู่ทันทีและกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากไวรัสอย่างโควิด-19 ที่มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ข้อมูล/ภาพ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ Center for Medical Genomics