นพ. เกรียงไกร เฮงรัศมี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจเฮลท์แคร์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ภาพรวมโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยน่าจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน อาจสังเกตได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ที่คาดวาจะมียอดผู้ใช้บริการลดลงถึงประมาณ 20-30%
ปัจจัยสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้ใช้บริการโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวก็มีผลต่อธุรกิจเช่นเดียวกัน โดยโรงพยาบาลในเครือ BDMS ได้เตรียมแนวทางรับมือ สร้างกลยุทธ์การรับมือและโอกาส พัฒนา Training บุคลากรและองค์กรให้แข็งแกร่ง เพิ่มสัดส่วนลูกค้าที่ใช้บริการผ่านประกันสุขภาพมากขึ้น ร่วมกับหลายบริษัทประกันที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ผู้ป่วยของ BDMS คิดสัดส่วนเป็นชาวต่างชาติประมาณ 30% ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(CLMV - กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) โดดเด่นและเติบโตเร็วที่สุด ถัดมาคือ ยุโรป อเมริกา, สวีเดน, ออสเตรเลีย และจีนประปราย สร้างสัดส่วนรายได้ (Revenue Share) ประมาณ 45% กลุ่มคนไข้อีก 70% จะเป็นคนไทย สร้างรายได้ประมาณ 55%
"โรงพยาบาลในเครือ BDMS ถือว่าสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง การเติบโตโดยรวมประมาณ 7% ไตรมาส 1/2568 มีกำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 ผู้ใช้บริการยังบอกต่อและพึงพอใจในการรักษาที่เทียบเท่ากับการแพทย์ทางฝั่งตะวันตกได้ ขณะที่ราคาถูกกว่า 3-5 เท่า บุคคลากรก็มีความใส่ใจ ดูแลอย่างเป็นมิตร ความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางมีความโดดเด่น เช่น บุคลากรโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ"
เฉพาะของโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ในปี 2567 ที่ผ่านมามีจำนวนผู้ป่วยรวมมากกว่า 1.3 แสนราย แบ่งเป็นคนไทย 8 หมื่นราย และต่างชาติมากกว่า 5 หมื่นราย อัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ตั้งเป้าไว้ว่าเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะเติบโตประมาณ 5-10% ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยทั้ง OPD และ IPD ทั้งเน้นย้ำการรักษาด้วยคุณภาพซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญ
นพ. เกรียงไกร กล่าวว่า ในปี 2568 โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ได้ทุ่มงบลงทุนมากกว่า 10 ล้านบาท เสริมเทคโนโลยีเครื่องมือการผ่าตัดด้สนเทคนิคใหม่ ผ่าตัดหัวใจ MICS CABG หรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจผ่านแผลขนาดเล็กโดยไม่ต้องผ่าเปิดช่องอก และ Totally 3D Endoscopic Valve Surgery หรือการผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจแผลเล็กผ่านกล้อง 3 มิติ รองรับทั้งกลุ่มผู้ป่วยคนไทย และกลุ่ม Medical Tourism ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดใหญ่
"ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้น จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ควบคุมได้ยาก ทั้งกินอาหารเค็ม ขนมหวาน โรคอ้วนลงพุง สูบบุหรี่ รวมถึงปัจจัยสำคัญอย่าง PM 2.5 ที่คาดว่าสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า รวมถึงโรคหลอดเลือดสมองและมะเร็งปอด มีงานวิจัยที่เชียงใหม่ศึกษาผู้ป่วยกว่า 3 หมื่นคน ติดตาม 3 ปี พบว่าอัตราการเพิ่มของมะเร็งปอดและโรคหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผู้สูงวัย 60-65 ปี และยังมีแนวโน้มผู้ป่วยอายุน้อยลงในรายที่มีกรรมพันธุ์"
ด้านผู้ป่วยต่างชาติ ก็มีแนวโน้มป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากคนไทย โดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีกำลังซื้อสูง สามารถส่งต่อการรักษามายังประเทศไทยได้ รวมถึงกลุ่ม Expat (ชาวต่างชาติที่พำนักในไทย) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการมองหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในประเทศบ้านเกิด แต่อาจชะลอตัวในบางกลุ่มตามสถานการณ์ทางการเมือง เช่น ไทย-กัมพูชา แต่ผลกระทบในระยะสั้นยังไม่ชัดเจนมากนัก ซึ่งในประเทศกัมพูชาก็มีโรงพยาบาลกรุงเทพอยู่ด้วย (พนมเปญ) ต้องรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ต่อไปในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 50% จะค่อย ๆ แสดงอาการและมีเวลาให้รักษาได้ แต่อีก 50% อาจไม่มีอาการมาก่อนและเกิดอาการรุนแรงเฉียบพลัน จากสถิติของโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ พบจำนวนผู้ป่วย OPD รวมเฉลี่ย 1 แสนคนต่อปี ส่วนผู้ป่วย IPD มีสัดส่วนประมาณ 10-20% ของ OPD หรือ 1-2 หมื่นคน โดยค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเบื้องต้นเฉลี่ย 8 แสนบาท - 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเคสและโรคประจำตัวร่วมด้วย