ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันตลาดยาในประเทศไทยคาดว่ามีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นยาที่ใช้ในโรงพยาบาล 75% และยาที่ขายตามร้านขายยาทั่วไป 25% หากรวมอาหารเสริมต่างๆ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมราว 1.8 - 2 แสนล้านบาท
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่างภาวะเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์แผ่นดินไหว น่าจะกระทบต่อตลาดยาไม่มากนัก คาดว่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติและนักลงทุนในระยะสั้นราว 1 เดือน หากไม่มีเหตุการณ์เกิดซ้ำคนจะลืมเรื่องนี้และใช้ชีวิตปกติ ส่วนผลกระทบในระยะยาว น่าจะอยู่ในภาคการท่องเที่ยวที่มีความไม่แน่นอนและต้องรอดูภาพรวมช่วงปลายปี
“หากมองจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจยานานกว่า 30 ปี มองว่ายายังคงเป็นส่วน 1 ในปัจจัย 4 ที่มีความสำคัญ ตลาดยาในภาพรวมจะยังคงเติบโตได้ดีไม่ต่ำกว่า 10% และยานวัตกรรมในต่างประเทศก็จะถูกนำเอามาใช้ในประเทศไทยมากขึ้น แน่นอนว่าประเทศไทยยังคงเดินหน้าสู่การเป็น Medical Hub รองรับคนไข้ต่างชาติ และได้รับความนิยมจากต่างชาติในการเดินทางเข้ามารักษาโรค การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็ไม่น่ากระทบมากนัก”
สำหรับ IP เมื่อมองในเรื่องของรายได้ถือว่าเป็นบริษัทยาติดอันดับ TOP 10 ของประเทศไทย มี 2 โรงงาน คือ โรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลิตยาเกี่ยวกับตาและยารักษาโรค ส่วนโรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ผลิตสินค้าประเภทอาหารเสริม เวชสำอาง และสมุนไพร รวมทั้งผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว
นอกจากนี้ยังมีไลน์ธุรกิจทั้งร้านขายยา บริษัทเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาล และอื่นๆ โดยสินค้าทั้งหมดอยู่ภายใต้การผลิตแบรนด์ “อินเตอร์ ฟาร์มา” รวมกว่า 300 รายการ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเริ่มรับ OEM ผลิตยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง และสมุนไพรแต่ยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก
ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าวว่า ในภาพรวมสินค้าและบริการของ IP จะเป็นของคน 80% และของสัตว์ 20% สัดส่วนอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ในปี 2567 มีรายได้ 1,900 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2,400 ล้านบาท วางแผนการเติบโตไว้ประมาณ 20% จากการรุกตลาดยาดูแลรักษาดวงตา แต่ต้องระมัดระวังปัจจัยภายนอก เช่น สงคราม เศรษฐกิจโลก ภัยพิบัติ โรคระบาด
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน IP ได้ลงทุนเป็นนำนวนมากและอาจมากที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจยาของประเทศไทย ทั้งขยายความร่วมมือ ขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะยาดูแลรักษาตาแบบครบวงจร อาทิเช่น ยาหยอดตาสำหรับ สายตาสั้น สายตายาว ตาแห้ง ต้อหิน เป็น Exclusive Partner จำหน่ายนวัตกรรมยาตาแบบครบวงจรแต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย ด้วยมาตรฐานยุโรป (European Standard)
ด้านแผนธุรกิจจะเน้นการเติบโตแบบมั่นคง สร้างรากฐานและปรับระบบต่างๆ รองรับกับอนาคตให้ได้มากที่สุด เช่น การรุกตลาดยาตาแบบครบวงจร การศึกษาและวิจัยเรื่องการใช้ยีนส์บำบัด ในโรคพาร์กินสันในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการแพทย์ขั้นสูง เป็นต้น
“เราเป็นบริษัทที่เข้ามาซื้อกิจการต่อบริษัทข้ามชาติ ที่ถอนธุรกิจจากประเทศไทย ฉะนั้นเราจึงเป็นบริษัทของคนไทยที่ยังคงมาตรฐานสากล โดยเซ็น MOU ร่วมกับหลากหลายบริษัทใน 6 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และไต้หวัน ด้วยการคำนึงถึงความทัดเทียมกับมาตรฐานสากลและราคาที่คุ้มค่าที่สุด ผลิตภัณฑ์เราจะเน้นขายในประเทศ แต่ก็กระจายไปยังคนไข้ต่างชาติที่เข้ามารักษาตัวในประเทศไทย และส่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว ฮ่องกง และเวียดนามเล็กน้อย”
อย่างไรก็ดี การลงทุนในธุรกิจยาต้องมองในระยะยาว ตอบโจทย์อนาคต เพิ่มนวัตกรรมให้มากขึ้น และที่สำคัญคือการเข้าถึงของประชาชน ซึ่งในประเทศไทยรัฐบาลก็ให้การสนับสนุนทั้งการวิจัย ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในหลายด้าน