"น้ำท่วม"ระดับไหน ไม่ควรขับรถลุย รถเก๋ง-รถอีโคคาร์-รถกระบะ ดูที่นี่

07 ก.ย. 2565 | 11:35 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2565 | 18:40 น.
3.4 k

"น้ำท่วม"ระดับไหน ไม่ควรขับรถลุย ผู้ขับรถแต่ละประเภท ทั้งรถเก๋ง รถขนาดเล็ก รถอีโคคาร์ รถกระบะ ควรประเมินความสูงของระดับน้ำขังก่อนตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัย ดูคำแนะนำจากกรมการขนส่งทางบก

จากการที่ช่วงนี้มีฝนตกหนัก ส่งผลให้มีน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ สภาพอากาศวันนี้(7 ก.ย. 65) มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง 

 

จากฝนที่ตกหนัก ทำให้ผู้ขับรถมีโอกาสพบกับสถานการณ์ขับรถลุยน้ำท่วม แบบไม่ทันตั้งตัว ผู้ขับรถควรประเมินความสูงของระดับน้ำขังก่อนตัดสินใจ เพื่อความปลอดภัย

\"น้ำท่วม\"ระดับไหน ไม่ควรขับรถลุย รถเก๋ง-รถอีโคคาร์-รถกระบะ ดูที่นี่

 

กรมการขนส่งทางบก มีข้อแนะนำ “น้ำท่วมระดับไหน ไม่ควรขับรถลุย” ดังนี้

 

  1. ระดับน้ำ 5-10 เซ็นติเมตร ขับผ่านได้ทุกคัน แต่ยังต้องมีสติ ระมัดระวัง ไม่ควรใช้ความเร็วสูง อาจทำให้สูญเสียการควบคุมได้ เพราะถนนลื่น
  • ระดับน้ำ 10-20 เซ็นติเมตร รถทุกประเภทยังขับผ่านไปได้ รถขนาดเล็กอาจได้ยินเสียงน้ำใต้ท้องรถ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยังมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปในตัวรถ

 

รถอีโคคาร์ต้องระวัง ระดับน้ำ 20-40 ซม. เพราะส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้มีความสูงจากระดับพื้น 15-17 ซม. อาจทำให้เกิดปัญหาท่อไอเสียจม แต่ยังสามารถขับลุยน้ำผ่านได้ ส่วนรถกระบะยังผ่านไปได้

 

  • ระดับน้ำ 40-60 เซ็นติเมตร รถเก๋ง รถขนาดเล็กต้องเลี่ยง

 

รถกระบะยังฝ่าไปได้ ปิดแอร์ขณะขับ ป้องกันพัดลมแอร์หน้ารถดูดละอองน้ำเข้าไปในเครื่องยนต์ จะทำให้เครื่องยนต์ดับ ขับขี่ให้ช้าลง ลดการเกิดคลื่นน้ำซัดเข้าหารถ จากรถคันอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่น้ำจะกระจายเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์

 

  • ระดับน้ำ 60-80 เซ็นติเมตร อันตรายต่อรถทุกคัน

 

ไม่ควรขับลุย เพราะน้ำอาจไหลเข้าห้องเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ดับ หยุดชะงัก ก่อให้เกิดความเสียหายในระบบต่างๆ ได้ ซึ่งการขับลุยน้ำท่วมระดับนี้ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษ ที่สำคัญอย่าปะทะคลื่นโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องดับกลางอากาศ

 

  • ระดับน้ำสูงเกินกว่า 80 เซ็นติเมตร ควรใช้เส้นทางอื่น

 

หลังจากขับรถลุยน้ำ อย่าลืมตรวจเช็คการทำงานของระบบเบรก เหยียบเบรกย้ำๆ เพื่อไล่น้ำออก และขับขี่ให้ช้าลง เพื่อความปลอดภัย

 

ที่มา : กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News