นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ แต่ละปีมักจะมีข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุการเมาแล้วขับ โดยเมื่อพบการกระทำผิดกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ก็จะส่งฟ้องเป็นคดีสู่ศาลตามพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งสถิติคดีในอดีตก็มักจะพบว่าการดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับช่วงเทศกาลมีจำนวนมากเป็นอันดับต้น ๆ
ขณะที่ปี 2565 ปรากฏตามข่าวว่าประชาชนเริ่มทยอยเดินทางออกต่างจังหวัดแล้วตั้งแต่ช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้
ดังนั้นขอให้ผู้เดินทางซึ่งต้องขับขี่รถนั้นเดินทางด้วยความปลอดภัย และระมัดระวังอย่างยิ่งในการที่จะปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เสพยาเสพติดขณะขับขี่ สวมหมวกกันน็อคขณะขี่รถ
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ขับขี่ ผู้ที่ร่วมเดินทาง และประชาชนทั่วไปผู้ใช้เส้นทางสัญจรบนท้องถนน อีกทั้งลดความเสี่ยงการสูญเสียต่างๆ จากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดตามมาได้ และลดอัตราถูกดำเนินคดีส่งฟ้องด้วย
ส่วนที่มีการรณรงค์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประชาสัมพันธ์มาตรการบังคับใช้กฎหมาย เมาแล้วขับ จับขังจริง แก่ผู้กระทำผิดกรณีเมาแล้วขับในช่วงวันที่ 11-17 เม.ย.2565 ซึ่งเป็นช่วงคุมเข้ม 7 วัน ระวังอันตราย
โดยนำร่องพื้นที่เขตอำนาจศาลภาค 6 (จังหวัดภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง) เพื่อสร้างความตระหนักแก่ผู้ขับขี่และลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับนั้น
หากพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายจะต้องถูกส่งตัวฟ้องศาล ซึ่งศาลจะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน โดยโทษนั้นมีความแตกต่างกันตามพฤติการณ์ของแต่ละคนที่ได้กระทำจริง ซึ่งความหนัก-เบาจะขังจริงหรือไม่ เป็นดุลยพินิจที่ศาลจะพิจารณาจากคำให้การประกอบพยานหลักฐาน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกำหนดโทษอัตราใด เช่น จำคุก รอลงอาญา การสั่งคุมประพฤติ เพื่อลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุ และการสูญเสียจากพฤติกรรมดื่มแล้วขับโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลวันหยุดยาว
จึงฝากประชาชนทุกคนตระหนักถึงการขับขี่ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎจราจร และ ใส่ใจผู้ร่วมใช้เส้นทางจราจรด้วย เพื่อให้ทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยไร้คดี ได้ใช้วันหยุดกับครอบครัว
สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก ระบุข้อมูลถึงอัตราโทษของการเมาแล้วขับไว้ดังนี้
กรณีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
กรณีปริมาณเแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
การปฏิเสธเป่า
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “บาดเจ็บ”
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “บาดเจ็บสาหัส”
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่น “ถึงแก่ความตาย”