“ศิธา ทิวารี” ชู “บล็อกเชน” พลิกโฉมกรุงเทพฯ

09 เม.ย. 2565 | 19:34 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2565 | 02:55 น.

“ศิธา” เปิดนโยบายเด็ด พลิกโฉมกรุงเทพฯ ผ่าน “บล็อกเชน” ดึงคนกรุงร่วมสร้างเมือง ร่วมบริหาร เลื่อน ลด ปลด ย้าย ขรก.กทม.ทุกระดับ ล้างแดนสนธยา "กรุงเทพธนาคม" ปลุกชีพ “street food” ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สร้างงาน สร้างรายได้ ทุกมิติ รอบด้าน

วันที่ 9 เมษายน 2565  เนชั่นกรุ๊ป ร่วมกับ นักศึกษาหลักสูตรมหานครรุ่น 9 จัด เวทีดีเบทเลือกตั้งผู้ว่ากทม. “เปิดฉาก ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. 65” ที่ลานพารากอนพาร์ค โดยมี 6 ผู้สมัครเต็ง ลงชิงผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เข้าร่วมเวที โชว์วิสัยทัศน์ หากได้เป็นผู้ว่าฯ จะมาบริหารกรุงเทพฯอย่างไร

 

นาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี

 

ล้างระบบแบบดั้งเดิม

นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร (กทม.)  ในนามพรรคไทยสร้างไทย ชูนโยบายพัฒนา กทม. เบอร์ 11  กล่าวว่า ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า กรุงเทพมหานคร หรือ มหานครต่างๆ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของทุกประเทศ ไม่สามารถสร้างด้วยคนๆเดียว ไม่สามารถสร้างด้วย กทม. ซึ่งมีข้าราชการ คิด และทำ จัดงบประมาณในระบบราชการ

 

ในส่วนตัวของผมเองจะพูดถึงความผูกพันกับกรุงเทพมหานคร ในสองมิติด้วยกัน มิติแรกคือ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โตเรียน ทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร อยู่ในกรุงเทพมหานครไม่ต่ำกว่า 50 ปี ผมเห็นผู้ว่าฯ กทม. มีนโยบาย มีผู้ว่า กทม.มาแล้ว กว่า 10 คน  นโยบายก็อย่างที่เราเห็น ในแผ่นพับ ใบปลิวของทุกสมัย แผ่นพับใบปลิวของผู้สมัครกทม. ทุกคนที่ลงในครั้งนี้ ในส่วนนโยบายไม่ได้มีความแตกต่าง

 

“แต่ถ้ายังบริหารงานในระบบที่รัฐใช้ราชการ แล้วเอาประชาชนที่อยู่ข้างล่าง เปรียบเสมือนผู้ที่มารองรับในระบบราชการเหมือนกับขวาน เหมือนกับค้อน เหมือนกับอีโต้ ที่ฟันลงไปพี่น้องประชาชน ฟันลงไปที่ไม่ได้สนใจข้างล่างจะเป็นอย่างไร”

 

ดึงกลุ่ม NGO เข้ามามีส่วนร่วม

 

นาวาอากาศตรี ศิธา  กล่าวว่า  ระบบของกรุงเทพมหานคร รวมถึงระบบราชการของไทย เราก็เหมือนกรรไกร ก็คือ เราต้องมีความคมอยู่ด้านบน ซึ่งจะบริหารงบประมาณอย่างแหลมคม และต้องมีความคมจากด้านล่าง จากพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในชุมชน จาก NGO ซึ่งคิดมาตลอดชีวิต ขลุกอยู่กับปัญหา ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทำกับชาวบ้าน แต่เสียงของเค้าเหล่านั้นไม่เคยขึ้นมาถึงผู้บริหาร กทม.เลย ระดับล่างรับฟัง ระดับบนปฎิเสธ เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลา

 

สำหรับมิติแรกที่พูดถึง กทม. ก็คือ ความที่ผมเป็นคนกรุงเทพฯ และอยู่ในบ้านเมืองนี้มา 50 ปี  ส่วนมิติที่ 2 ผมเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตคลองเตย แต่สามารถนำเสนอแก้ปัญหากรุงเทพฯ ได้ทุกเขต มีเขตสุขุมวิท ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเขตธุรกิจ เป็นเขตที่มีที่ดินราคาแพง เป็นที่อยู่อาศัยของคนรวย มีถนนพระรามสี่ มีทั้งระดับเอสเอ็มอี มีค้าขายระดับห้องแถว ไปจนถึงตลาดคลองเตย และมีชุมชนแออัดคลองเตย

 

“ผมจะบอกว่าระบบราชการที่ผมกล่าวถึง ความคิดเห็นของคนในพื้นที่ไม่เคยได้รับการตอบสนองอย่างถูกต้องเลย กทม.ไม่สามารถสร้างด้วยคนๆ เดียว ผู้คนที่อาศัยอยู่ใน กทม. ต่างหากคือ คนสร้างเมือง”

 

 

"บล็อกเชน" มาบริหารราชการ

 

สำหรับลำดับแรก ก่อนที่จะลงไปนโยบาย วันนี้คงจะเจาะลึกในนโยบายทุกด้านไม่ได้ แต่จะแบ่งเป็น 3 ด้าน แต่ก่อนที่จะพูดถึงนโยบาย 3 ด้าน ผมจะขอนำเสนอระบบที่อยู่บนระบบบล็อกเชน  (Decentralized Autonomous Organization (D.A.O.) ด้วยเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่จะทราบกันเป็นอย่างดี “บล็อกเชน” เป็นระบบที่ไม่สามารถไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ผมจะได้ บล็อกเชน โดยนำเสนอเรียกว่าระบบดาวน์  (D.A.O.) จะพลิกโฉม กทม. เป็นส่วนราชการนำร่องของประเทศไทยที่จะบริหารโดยพี่น้องประชาชน พี่น้องประชาชนจะมีส่วนร่วมกับการบริหาร กทม.ถึง 3 ส่วนด้วยกัน

 

h

“จะขอหยิบยกประเด็นหลักๆ ด้านแรก คือ การร้องเรียน มีปัญหาอะไรในพื้นที่ ให้ร้องเรียนผ่านระบบบล็อกเชน ไม่สามารถแก้ไขได้ ในระบบบล็อกเชนจะแยกแยะกลุ่มคน ใครที่อยู่ในพื้นที่ในแนวราบสามารถจะร้องเรียนปัญหาในพื้นที่ ก็สามารถยืนยันตัวตนได้ พร้อมกับนำเสนอข้อคิดเห็นได้”

 

ในส่วนที่สอง จะเป็นแนวตั้ง คือ พี่น้องปประชาชน ที่เป็นเอ็นจีโอ เป็นคนที่ทุ่มเททั้งชีวิต ทำให้พี่น้องประชาชนโดยไม่คิดอามิสสินจ้าง ไม่ได้คิดเงินเดือน ทำให้ฟรี แต่ภาครัฐไม่เคยสนใจ เขาคือ คมกรรไกรด้านล่าง ที่จะสอดรับกับอีโต้ ที่รัฐบาล และที่ กทม.ฟาดลงไปแทนที่จะทุบลงด้วยงบประมาณ ทุบลงด้วยกลไกลของรัฐไปที่พี่น้องประชาชน เราจะให้พี่น้องประชาชนนำเสนอแนวความคิดเปรียบเสมือนกลไกที่มีความคมจากด้านบน และสอดแทรกจากด้านล่าง ทำให้การแก้ปัญหาตรงใจกับพี่น้องประชาชนระบบบล็อกเชน (ดาวน์)  จะทำตรงนี้

 

1. ประชาชนจะมีส่วนร่วม และมีการกำหนดงบประมาณ ของกทม.ในทุกส่วน

 

ให้อำนาจ "คนกรุง" เลื่อน ลด ปลด ย้าย ขรก.

 

2.ประชาชนจะมีส่วนร่วม ในการเลื่อน ลด ปลด ย้าย ข้าราชการ กทม.ทุกระดับชั้น ประชาชนจะสามารถโหวตให้คะแนนตั้งแต่ผู้ว่า กทม. รองผู้ว่า กทม. และข้าราชการ กทม.ทุกระดับชั้นได้

 

บรรยากาศ

 

นอกจากนี้ได้จัดนโยบายจัดเป็น 3 กลุ่ม คือ 3 P  คือ เป็นการสร้างคน  (People) สร้างงาน (Profit) และสร้างเมือง (Planet)  จะขอยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่สามารถนำมายกได้ เพราะเป็นร้อยกว่า นโยบาย อาทิ จะลงทุนกับการสร้างคนมากที่สุด ผมเชื่อว่าโรงเรียนกรุงเทพฯ สามารถทำได้ เราไม่ต้องพูดถึงความเป็นเลิศทางด้านการศึกษา เราจะไปให้ถึงจุดนั้น

 

ก่อนอื่นขอความเสมอภาคให้กับการศึกษาให้กับโรงเรียน กทม. ความเสมอภาคการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสุดที่จะช่วยให้คน กทม. ได้โรงเรียนที่ดีที่สุดที่อยู่ใกล้บ้าน เราไม่ต้องให้ลูกไปโต รับประทานข้าว และขับถ่ายที่รถยนต์อีกต่อไป จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องรถติดด้วย เพราะถ้าโรงเรียนเสมอภาค เราก็จะส่งโรงเรียนใกล้บ้าน เพราะฉะนั้นโรงเรียนใกล้บ้านคือ โรงเรียนที่ดีที่สุด

 

ตั้งกองทุนเครดิตประชาชน

 

นอกจากนี้จะมีโครงการกองทุนเครดิตประชาชน  ซึ่งสร้างโอกาสให้กับคนกรุงเทพ จะเป็นหน่วยงาน  "กรุงเทพธนาคม" ซึ่งเป็นแดนสนธยา ของกทม. จะเป็นหน่วยงานที่บริการประชน จะเปลี่ยน Mindset ของข้าราชการ กทม.ทั้งหมดจากข้าราชการแบบอุปถัมภ์เป็นข้าราชการรับใช้ประชาชนผ่านระบบบล็อกเชน ผ่านเทคโนโลยีใหม่ ประชาชนจะมีส่วนร่วม

 

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่อง “street food”  เราไม่ใช่เงินงบประมาณ 100 หรือ 1,000 ล้าน โปโมท street food”  เมืองไทยให้โด่งดังไปทั่วโลกได้ ปัจจุบันเป็นเอกลักษณ์ไทย วิถีชีวิตชาวบ้านไทย เราจะบอกวิธีว่าทำอย่างไร “street food”   หาบแร่ แผงลอยของบ้านเรา สามารถอยู่ มีดีมานด์และซัพพลาย มีคนต้องการซื้อ มีคนต้องการขาย เจ้าหน้าที่ กทม. ต้องเปลี่ยนตัวเองจากคนที่กำกับดูแลพ่อค้าแม่ขาย เป็นคนที่ไปสนับสนุนให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถค้าขายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

“ผมจะยื่นขอในเมื่อรัฐบาลให้ภูเก็ตเป็นเซนบ็อกซ์ได้กรุงเทพมหานครผมจะขอเป็นแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งจะยกเลิกกฎหมายกว่า 1,000 ฉบับ ที่มาขัดขวางที่ไม่สามารถให้ขายได้ จะต้องค้าขายได้ภายใต้ของกฎหมาย ผมจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมือง “creative”  ในรายละเอียดจะมีการพัฒนาเนรมิตเมืองมีกรีนแลนด์มาร์กเพิ่มขึ้น รวมทั้งนโยบายต่างๆ อีกมากมาย" นาวาอากาศตรี ศิธา กล่าวในช่วงท้าย