'ค่าไฟแพง' จี้รัฐกำกับค่า FT เปิด ปชช. ผลิตไฟจากโซลาร์เซลล์

20 มี.ค. 2565 | 13:40 น.
อัปเดตล่าสุด :20 มี.ค. 2565 | 21:30 น.

องค์กรผู้บริโภค เผย รัฐสำรองไฟมากเกินจำเป็น ต้นเหตุค่าไฟฟ้าแพง 4 บาทต่อหน่วย แนะเร่งกำกับ ค่าเอฟที (ค่าFT) ให้สอดคล้องค่าครองชีพ พร้อมเสนอ เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์

20 มีนาคม 2565 - จากการที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Float Time) หรือ ค่าเอฟที (ค่า FT) ในอัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2565 ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าจากเดิม 3.76 บาทต่อหน่วย เป็น 4 บาทต่อหน่วย โดยระบุ ว่ามาจากผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน และความจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี : LNG) นั้น 

ล่าสุด สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น กำลังสร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนต่อภาระค่าครองชีพที่ถีบตัวขึ้นกระทันหันอย่างต่อเนื่องนั้น พร้อมเปิดเผย สาเหตุหลักส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ว่า เป็นเพราะปัญหาการวางแผนการการผลิตไฟฟ้าในประเทศที่ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าเอกชนเกินความต้องการอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า การมีปริมาณไฟฟ้าสำรองมากถึงร้อยละ 40 – 60 ซึ่งภาระส่วนนี้จะถูกแปลงออกมาเป็นค่าการผันแปรอัตโนมัติ (Float Time) หรือ ค่าเอฟที (ค่า FT) และถูกนำมาบวกรวมเข้าไปในบิลค่าไฟฟ้าของประชาชนด้วย

\'ค่าไฟแพง\' จี้รัฐกำกับค่า FT เปิด ปชช. ผลิตไฟจากโซลาร์เซลล์

แนะชะลอซื้อไฟสำรอง

อีกสาเหตุ คือ การที่กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. เลือกสนับสนุนและซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กแทนโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เดินหน้าผลิตไฟฟ้า ทั้ง ๆ ที่การซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็กนั้นมีราคาสูงถึง 4 บาท และมีปริมาณการรับซื้อที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกด้วยนั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่า FT สูง

 

ทั้งนี้ เห็นว่า การปรับขึ้นค่า FT สำหรับเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2565 กำลังสร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนต่อภาระค่าครองชีพที่ถีบตัวขึ้นกระทันหันอย่างต่อเนื่อง สภาองค์กรของผู้บริโภค มีความคิดเห็นว่า รัฐบาลต้องจัดหาสาธารณูปโภคเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้ 

 

ดังนั้น รัฐบาลควรกลับมาควบคุมและกำกับราคาอย่างใกล้ชิดให้สอดคล้องกับค่าครองชีพของประชาชน และ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดเพดานรับซื้อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพของประชาชน และ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ใช่การเปิดเพดานราคาแบบไม่มีการควบคุมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้  และ ชะลอ หรือ ยุติ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ ลดการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีราคาเกินกว่าค่าไฟฟ้าฐานของระบบขายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ราคา 2.57 สตางค์ต่อหน่วย และควรมีการเจรจาเพิ่มเติมถึงการสร้างเพดานราคาที่รัฐจะรับซื้อได้ รวมทั้งรัฐต้องใช้อำนาจเป็นผู้ซื้อแต่เพียงรายเดียวในการต่อรองกับผู้ผลิตเอกชนด้วย

\'ค่าไฟแพง\' จี้รัฐกำกับค่า FT เปิด ปชช. ผลิตไฟจากโซลาร์เซลล์

หนุนโซลาร์เซลล์ภาคประชาชน ผลิตไฟฟ้าใช้เอง

สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้ก็คือ การนำเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เข้ามา ประชาชนสามารถเปลี่ยนจากการเป็นผู้บริโภคหรือผู้ซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีอำนาจต่อรอง มาเป็น ผู้ผลิตไฟฟ้า รวมถึงยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย เนื่องจากโซลาร์เซลล์ไม่ได้ใช้พลังงานในกลุ่มฟอสซิลที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น

 

ปัจจุบันระบบการผลิตโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) สามารถนำมาทำเป็นโครงการโซลาร์ภาคประชาชนได้ แต่ปัญหาที่พบ คือ ระบบไม่เอื้อ ไม่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนได้มากพอ เพราะรัฐมีการกำหนดเพดานการรับซื้อโซลาร์เซลล์ทั่วประเทศ เพียงปีละไม่เกิน 10 เมกะวัตต์เท่านั้น มากไปกว่านี้ อัตราค่ารับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์บนหลังคา คือ 2.20 บาทต่อหน่วย เท่านั้น ขณะที่ตอนนี้ค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็น 4 บาทต่อหน่วยแล้ว จะเห็นว่าประชาชนอยู่ในภาวะที่ขาดทุน 

 

ดังนั้น รัฐบาลควรมีการปรับเพิ่มอัตราค่ารับซื้อไฟฟ้าให้ใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้าที่ขายให้ประชาชน หรือ ไม่ควรต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐานที่ กฟผ. ขายส่งให้กับประชาชน ประมาณ 2.50 – 3.00 บาทต่อหน่วย นอกจากนี้ โซลาร์ภาคประชาชนที่รัฐบาลรับซื้อยังมีการกำหนดสัญญาไว้เพียง 10 ปีเท่านั้น ขณะที่ศักยภาพของแผงโซลาร์เซลล์มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี ซึ่งยังไม่สร้างแรงจูงใจที่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนติดโซลาร์เซลล์ เนื่องจากระยะเวลารับซื้อสั้นกว่าอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์

 

ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมถกปัญหาและหาทางออกด้วยกัน ในเวทีเสวนา “เปิดข้อมูลต้นเหตุค่าไฟฟ้าแพง ใครได้ประโยชน์  และทางรอดของประชาชน” ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ สภาองค์กรของผู้บริโภค