ติดโควิดพุ่ง กทม. ขยายเตียงเพิ่มพร้อมรับผู้ป่วยโควิด 19

22 ก.พ. 2565 | 00:05 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.พ. 2565 | 03:15 น.
5.1 k

ผู้ติดเชื้อติดโควิดพุ่ง กทม. สั่งขยายเตียงเพิ่มพร้อมรับผู้ป่วยโควิด 19 เปิด Stand by ทุกศูนย์พักคอย ส่วนการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เริ่มกลุ่มแรกในวันที่ 28 ก.พ.นี้ 

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า  ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแบบกักตัวที่บ้าน (HI) ในวันนี้  (21 กุมภาพันธ์) มีจำนวน 3,272 ราย สะสม 52,775 ราย อยู่ระหว่างการรักษา จำนวน 21,790 ราย จำหน่ายสะสม 30,985 ราย ในส่วนของศักยภาพเตียงใน กทม. ที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 จากโรงพยาบาลทั้งหมด 226 แห่ง มีเตียงรองรับทั้งหมด 44,345 เตียง

แบ่งตามกลุ่มได้แก่ โรงพยาบาลหลัก 48 แห่ง 4,673 เตียง โรงพยาบาลสนาม 17 แห่ง 2,941 เตียง และ Hospitel 161 แห่ง 36,731 เตียง (ข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วันที่ 17 ก.พ. 65 เวลา 20.00 น.)

 

ในส่วนของอัตราการครองเตียง ที่อยู่ในความดูแลของสำนักการแพทย์ กทม. มีจำนวนเตียงทั้งหมด 3,460 เตียง ครองเตียง 2,976 เตียง (86.01%) เตียงว่าง 484 เตียง (13.99%) โดยศูนย์พักคอย (Community Isolation) มีจำนวน 31 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้ 3,981 เตียง โดยมีอัตราการครองเตียง 1,716 ราย (43.10%) คงเหลือ 2,065 เตียง

แบ่งออกเป็น ศูนย์พักคอยที่เปิดบริการและมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา จำนวน 19 แห่ง 2,858 เตียง ศูนย์พักคอยที่เปิดบริการแต่ยังไม่มีผู้ป่วย จำนวน 7 แห่ง 648 เตียง และศูนย์พักคอยที่พร้อมเปิดดำเนินการ (standby mode) จำนวน 5 แห่ง 475 เตียง (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.พ. 65 เวลา 08.00 น.)

 

กรุงเทพมหานคร ได้เตรียมพร้อมศักยภาพการขยายเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 หากมีแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรืออาการน้อย เป็นผู้ป่วยระดับสีเขียว ขอให้เข้าระบบการดูแลที่บ้านหรือชุมชน (HI/CI First) จะทำให้เตียงในโรงพยาบาลมีเพียงพอสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อที่จำเป็นต้องใช้เตียงในโรงพยาบาล และสำรองเตียงให้กับผู้ป่วยระดับสีเหลืองและแดง

 

รวมทั้งผู้ป่วยทั่วไปและโรคอื่น ๆ ด้วย โดยมติที่ประชุมได้มอบหมายสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย และสำนักงานประชาสัมพันธ์ ชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างมั่นใจให้กับประชาชนว่า หากติดเชื้อโควิด-19 และเข้าระบบการรักษาแบบ HI/CI ก็จะได้รับการรักษาตามมาตรฐานที่ดี โดยมีการติดตามประเมินอาการจากแพทย์ทุกวันจนกว่าจะหายเป็นปกติ

 

ขณะที่แนวทางการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มให้บริการกลุ่มแรกในวันที่ 28 ก.พ.นี้ 

 

การให้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

  • เด็กอายุ 5-6 ปี ให้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์
  • เด็กอายุ 6-11 ปี สามารถรับวัคซีนได้ 3 สูตร คือ ไฟเซอร์ 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์  ซิโนแวค 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์ และสูตรไขว้ ซิโนแวคและไฟเซอร์ ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์
  • เด็กที่แจ้งความประสงค์รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม จะเป็นการรับบริการ ณ สถานศึกษาที่กำหนด