"หมอยง"เผยจุฬาฯ เร่งพัฒนาชุดตรวจจับโควิดสายพันธุ์"โอไมครอน"

02 ธ.ค. 2564 | 09:06 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2564 | 05:39 น.

"หมอยง"เผยศูนย์จุฬาฯ เร่งพัฒนาชุดตรวจจับโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ย้ำปัจจัยการควบคุมที่ดี ต้องตรวจหาเชื้อให้เร็ว ชี้กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องสงสัยและจำเป็นต้องตรวจหาสายพันธุ์โอไมครอน คือกลุ่มผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคน

วันนี้ (2 ธันวาคม) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว  Yong Poovorawan ในประเด็นการตรวจหาเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ต้องทำได้อย่างรวดเร็ว


โดยระบุว่า ปัจจัยสำคัญในการควบคุมโรคโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในบ้านเราจะต้องทำได้อย่างรวดเร็ว การตรวจวินิจฉัยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาให้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ในต่างประเทศ ชุดตรวจที่มีการตรวจยีน S หรือยีนหนามแหลมสไปท์ ร่วมกับการตรวจยีนอื่น และถ้าให้ผลบวกต่อยีนอื่น โดยให้ผลลบต่อยีนหนามแหลมสไปท์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมค่อนข้างมาก จะเข้าข่ายสงสัยไว้ก่อนทันที แต่สำหรับประเทศไทยชุดตรวจส่วนใหญ่ RT-PCR จะเป็นชุดตรวจหายีน N ยีน E และยีน ORF1ab หรือ RdRp ดังนั้นจึงใช้วิธีที่กล่าวไม่ได้

ขณะนี้ทางศูนย์ได้พัฒนา Probe ตัวจับจำเพาะต่อสายพันธุ์โอไมครอน เพื่อการวินิจฉัยให้ได้รวดเร็วที่สุด ที่ผ่านมาก็มีตัวจับจำเพาะ (Probe) ต่อสายพันธุ์แอลฟา สายพันธุ์เดลตาอยู่แล้ว สามารถทำพร้อมกันได้เป็นจำนวนมาก และใช้เวลาเท่ากับการทำ RT-PCR ธรรมดา คือประมาณ 4 ชั่วโมงก็สามารถที่จะบอกหรือคาดว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอนได้ 

 

การตรวจยืนยันจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีถอดรหัสพันธุกรรม โดยเฉพาะในรายที่สงสัยจากการตรวจกรองดังกล่าวให้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องสงสัยและจำเป็นต้องตรวจหาสายพันธุ์โอไมครอน คือกลุ่มผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคน ผู้ฉีดวัคซีนครบแล้วติดเชื้อ ผู้ที่เคยป่วยแล้วติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือการระบาดในคลัสเตอร์ ควรสุ่มตัวอย่างในคลัสเตอร์มาตรวจทุกคลัสเตอร์ 

 

การถอดรหัสพันธุกรรมสำหรับประเทศไทยจะต้องทำเพิ่มขึ้น และมีการสุ่มหลากหลายในประชากร งบประมาณในส่วนนี้จำเป็นจะต้องใช้เพิ่มขึ้น เพื่อการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดในประเทศไทย และมีความจำเป็นที่ต้องทำอย่างรวดเร็วด้วย