เตือน9จังหวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยารับมือน้ำเพิ่มสูง23-30 ต.ค.นี้

19 ต.ค. 2564 | 11:24 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ต.ค. 2564 | 02:35 น.

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ออกประเทศเตือนพิ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ใน 9 จังหวัดรวมถึงกทม.รับมือระดับน้ำเพิ่มสูง ช่วงวันที่ 23-30 ต.ค.นี้ พื้นที่ไหนบ้างเช็คได้ที่นี่ พร้อมชู 4 แผนดำเนินการบรรเทาผลกระทบ-ช่วยเหลือประชาชน

วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ออกประกาศ เรื่อง เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน ระบุว่า จากอิทธิพลของร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย ในช่วงวันที่ 14-17 ต.ค.64 ที่ผ่านมาส่งผลให้มีฝนตกหนัก บริเวณลุ่มน้ำปิง เจ้าพระยา สะแกกรัง ท่าจีน และป่าสัก ทำให้เกิดน้ำไหลล้นทางระบายน้ำล้นเขื่อนทับเสลา จังหวัดอุทัยธานี เขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี รวมทั้งทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง แม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำป่าสัก คลองชัยนาท-ป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ประเมิน และวิเคราะห์ปริมาณฝนตก ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์ปริมาณน้ำหลากจากตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาจากแม่น้ำปิง จะทำให้มีน้ำไหลผ่านบริเวณอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เพิ่มสูงสุด จากอัตรา 2,484 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 3,000-3,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในวันที่ 22 ต.ค.64

 

โดยจะบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการหน่วงน้ำและผันน้ำเข้าคลองต่าง ๆ ด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท อยู่ในเกณฑ์ 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนเจ้าพระยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจุบัน ประมาณ 20-40 ซม. ในช่วงวันที่ 23-30 ต.ค. 64 ดังนี้

1.จังหวัดนครสวรรค์ บริเวณตำบลย่านมัทรี ตำบลยางขาว ตำบลน้ำทรง ตำบลพยุหะ และตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี

 

2.จังหวัดอุทัยธานี บริเวณตำบลท่าซุง ตำบลเกาะเทโพ และตำบลหาดทนง อำเภอเมืองอุทัยธานี

 

3.จังหวัดชัยนาท บริเวณตำบลชัยนาท ตำบลบ้านกล้วย ตำบลท่าชัย ตำบลในเมือง ตำบลเขาท่าพระ ตำบลหาดท่าเสา และตำบลธรรมมูล อำเภอเมืองชัยนาท ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ ตำบลคุ้งสำเภา ตำบลวัดโคก ตำบลศิลาดาน และตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ ตำบลโพนางดำออก และตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา

 

4.จังหวัดสิงห์บุรี บริเวณตำบลประศุก ตำบลชีน้ำร้าย ตำบลอินทร์บุรี ตำบลท่างาม ตำบลทับยา และตำบลน้ำตาล ตำบลโพกรวม ตำบลบางกระบือ ตำบลบางมัญ ตำบลบางพุทรา ตำบลต้นโพธิ์ ตำบลม่วงหมู่ และอำเภออินทร์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรี ตำบลหัวป่า ตำบลพรหมบุรี ตำบลโรงช้าง ตำบลบ้านแป้ง ตำบลบางน้ำเชี่ยว ตำบลพระงาม และตำบลบ้านหม้อ อำเภอพรหมบุรี

 

5.จังหวัดอ่างทอง บริเวณตำบลราชสถิต ตำบลชะไว ตำบลไชโย ตำบลหลักฟ้า ตำบลชัยฤทธิ์ ตำบลไชยภูมิ ตำบลเทวราช และตำบลจระเข้ร้อง อำเภอไชโย ตำบลป่าโมก ตำบลบางปลากด ตำบลโรงช้าง ตำบลบางเสด็จ และตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก

 

6.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณคลองบางบาล และแม่น้ำน้อย บริเวณตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด และตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ ตำบลบ้านกุ่ม ตำบลไทรน้อย ตำบลบางบาล ตำบลบางชะนี ตำบลบางหัก และตำบลบางหลวงโดด อำเภอบางบาล

 

7.จังหวัดปทุมธานี

 

8.จังหวัดนนทบุรี

 

9.กรุงเทพมหานคร บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกแนวคันกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

 

สำหรับแม่น้ำท่าจีน มีปริมาณน้ำไหลล้นข้ามทางระบายน้ำล้น เขื่อนกระเสียว และไหลไปสมทบกับปริมาณน้ำท่าที่เกิดจากฝนตกด้านท้ายเขื่อน ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงแม่น้ำท่าจีน 150-200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

 

ทั้งนี้จะบริหารจัดการโดยผันน้ำเข้าทุ่งโพธิ์พระยา เพื่อลดปริมาณน้ำหลาก ปริมาณน้ำส่วนที่เหลือจะส่งผลให้ระดับน้ำแม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสาคร มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจุบัน ประมาณ 30-40 ซม. ในช่วงวันที่ 20-27 ต.ค.64

 

ในการนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้

 

1.ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่จุดเสี่ยงและพื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วมขังอยู่ แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนล่วงหน้า พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน เตรียมพร้อมรับมือต่อไป

 

2.ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำ พร้อมทั้งตรวจสอบความแข็งแรงและจุดรั่วซึมของแนวป้องกันน้ำท่วม และดำเนินการซ่อมแซมให้สามารถใช้งานได้เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ

 

3.ปรับแผนบริหารจัดการเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ เพื่อพร่องน้ำและเร่งระบายน้ำ ในลำน้ำ แม่น้ำ เพื่อรองรับน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนเพื่อลดผลกระทบความรุนแรงของอุทกภัยและให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

 

4.เตรียมแผนรองรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที