"ล็อกดาวน์"ไม่ได้ผลกับโควิดสายพันธุ์เดลตา หมอมนูญยอมรับไม่มีทางชนะศึก

02 ส.ค. 2564 | 08:51 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2564 | 15:59 น.
714

หมอมนูญเผยมาตรการล็อกดาวน์ใช้ไม่ได้ผลกับโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ชี้สงครามเปลี่ยนไปไม่สามารถเอาชนะได้ แนะเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด

รายงานข่าวระบุว่า นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ (หมอมนูญ) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC) โดยมีข้อความระบุว่า
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ออกแถลงการณ์ สงครามโควิดได้เปลี่ยนไปแล้ว
การระบาดปีที่แล้วหรือสงครามครั้งแรก หลายประเทศรวมทั้งไทยสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสโควิด-19 หยุดการแพร่ระบาดได้ด้วยมาตรการทางสาธารณสุขและการล็อกดาวน์  เพราะข้าศึกหรือเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม เปรียบเหมือนเชื้อไวรัสไข้หวัดเล็ก ยังไม่เก่งพอ คนติดเชื้อ 1 คนสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น 2 คน แต่สงครามครั้งนี้หรือการระบาดรอบปัจจุบัน ถึงแม้เราจะออกมาตรการต่างๆ ตั้งป้อมค่ายต่อสู้ ป้อมถูกตีแตก ต้องถอยร่นเข้าหลุมหลบภัย แม้กระทั่งหลุมหลบภัยก็ยังไม่ปลอดภัย เชื้อไวรัสโควิดตามเข้ามาในบ้าน แพร่ระบาดในครัวเรือน เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าเก่งขึ้นมาก คนติดเชื้อ 1 คนสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นมากถึง 8-9 คน เปรียบเหมือนเชื้อไวรัสโรคอีสุกอีใส (ดูรูป)
โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella ติดต่อได้ 2 ทาง โดยการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำบนผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากสูดหายใจเอาละอองฝอยของสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ในอดีตเด็กทุกคนในโลกจะติดเชื้ออีสุกอีใสเพราะติดต่อกันง่ายมาก ในปัจจุบันสถานการณ์โรคอีสุกอีใสดีขึ้นเพราะมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

เราต้องยอมรับความจริง เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาติดกันง่ายมาก ติดกันทางหายใจ ในที่สุดเกือบทุกคนในโลกไม่ว่าจะเคยได้รับวัคซีนหรือไม่ จะติดเชื้อไม่ช้าก็เร็ว เมื่อประชากรโลกมากกว่าร้อยละ 90 ติดเชื้อ เกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ โรคโควิดถึงจะหยุดการแพร่ระบาด เหมือนกับไข้หวัดใหญ่สเปนในอดีตที่ระบาดไปทั่วโลกปี ค.ศ.1918 ใช้เวลา 2 ปี กว่าจะหยุดการระบาด ต่อมากลายเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ประจำถิ่น

ล็อกดาวน์ใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์เดลตา
คนที่ได้รับวัคซีนโควิดครบโดสก็ยังมีโอกาสติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ วัคซีนลดการติดเชื้อได้ 3 เท่า แต่ลดอาการรุนแรงถึงขั้นเข้านอนในโรงพยาบาลและเสียชีวิตมากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยรับวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคโควิดที่เป็นรุนแรงมากกว่าร้อยละ 90
ทุกคนควรแข่งกับเวลารีบฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด และป้องกันตัวเองเต็มที่ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง พยายามอย่าอยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี หมั่นล้างมือ พยายามชะลอเวลาการติดเชื้อออกไปให้นานที่สุด เพราะปีหน้าคาดว่าเราจะมียาขนานใหม่ที่มีประสิทธิภาพรักษาโรคนี้ดีกว่ายาปัจจุบัน มาตรการล็อกดาวน์แบบปีที่แล้วต่อให้เข้มแค่ไหน คงไม่ได้ผลกับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา เราต้องยอมรับสงครามเปลี่ยนไป เราไม่สามารถเอาชนะข้าศึกครั้งนี้ได้ เราต้องเรียนรู้อยู่กับโรคนี้  
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนแรกที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้ายึดครองประเทศไทย จำนวนผู้ติดเชื้อในเดือนที่แล้วเพียงเดือนเดียว 337,966 คน เสียชีวิต 2,834 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดจริงๆน่าจะมากกว่านั้นหลายเท่า คงต้องใช้เวลาอาจจะถึงปี กว่าประชากรไทยร้อยละ 90 ติดเชื้อ โรคโควิดถึงจะหยุดการแพร่ระบาดได้

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมตัวเลขสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยวันที่ 2 กรกฎาคม 64 จากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพบว่า
มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 17,970 ราย
ติดเชื้อในระบบ 13,567 ราย
ติดจากตรวจเชิงรุก 4217 ราย
ติดในสถานกักตัว 11 ราย
ติดในเรือนจำ 175 ราย
สะสมระลอกที่สาม 604,928 ราย

สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย
สะสมทั้งหมด 633,284 ราย
รักษาตัวอยู่ 208,875 ราย
โรงพยาบาลหลัก 75,705 ราย
โรงพยาบาลสนาม 133,170 ราย
ผู้ป่วยหนัก 4768 ราย
ใช้เครื่องช่วยหายใจ 1028 ราย
รักษาหาย 13,919 ราย
สะสมทั้งหมด 419,460 ราย
เสียชีวิต 178 ราย
สะสมระลอกที่สาม 5075 ราย
สะสมทั้งหมด 5168 ราย
ฉีดวัคซีนสะสม 17.415 ล้านเข็ม
เข็มที่หนึ่ง 13.419 ล้านเข็ม
เข็มที่สอง 3.996 ล้านเข็ม