“ไมส์ซา” เริ่มทดสอบวัคซีนโควิดแบบพ่นจมูกในมนุษย์แล้ว!!

เว็บไซต์ news-medical เผยแพร่บทความ วัคซีนโควิดชนิด "พ่นจมูก" ของบริษัท "ไมส์ซา" ว่า เป็นวัคซีนชนิดใช้เพียงโดสเดียว ซึ่งวัคซีนตัวนี้มีชื่อว่า "MV-014-212" สามารถสร้างแอนติบอดี ในทางเดินหายใจส่วนบน และ ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งการทดลองในลิงพบว่า มันสามารถป้องกันโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ดี!!

นอกจากนี้การทดลองในห้องแล็บ ซึ่งพบว่าแอนติบอดีในตัวหย่างซีรั่ม ของผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดชนิดพ่นจมูกตัวนี้ สามารถยับยั้งสายพันธุ์อัลฟา และ เบตา ได้งะงัก

หนึ่งในนักวิจัย ดร. "มาเรียนา ทิโอนี" กล่าวว่า "วัคซีนตัวนี้ ลดการแพร่เชื้อทางสารคัดหลั่ง ในจมูกได้มากกว่า 200 เท่า" และ "ความเข้มข้นของแอนติบอดี จะเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าภายใน 25 วันหลังได้รับวัคซีนตัวนี้"

โดยบริษัท "ไมส์ซา" คาดหวังว่า "ผลลัพธ์ที่ออกมาดีแบบนี้ จะเกิดขึ้นเช่นกันในมนุษย์ สำหรับการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ที่ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่"

ทั้งนี้ MV-014-212 ของไมส์ซาเป็น 1 ใน 2 วัคซีนโควิด-19 ชนิดพ่นจมูกที่อยู่ในการทดลองทางคลินิก จากประมาณ 10 ยี่ห้อทั่วโลก อีกหนึ่งยี่ห้อที่ทดลองทางคลินิกอยู่คือวัคซีนชนิดพ่นจมูกของจีน โดยความร่วมมือมหาวิทยาลัยฮ่องกงและมหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน

นอกจากนี้ยังมีทีมวิจัยอื่นทำการศึกษาในหนูทดลอง ได้ทำการเปรียบเทียบการให้วัคซีนในโพรงจมูกและการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ แสดงให้เห็นว่า มีเพียงการให้วัคซีนในโพรงจมูกเท่านั้นที่ให้เกราะป้องกันไวรัสได้ทั้งในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง

อีกการศึกษาหนึ่ง ซึ่งดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยไอโอวาและมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ยังพบอีกว่า วัคซีนชนิดพ่นจมูกช่วยปกป้องหนูทดลองจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ถึงตายได้อย่างเต็มที่ และวัคซีนยังป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสจากสัตว์สู่สัตว์ได้อีกด้วย

“วัคซีนชนิดพ่นจมูกนี้ จะเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ แต่ไม่ก่อให้เกิดโรค “พวกมันจะสร้างภูมิคุ้มกันของเยื่อเมือกที่บริเวณที่ติดเชื้อ ยับยั้งเชื้อโรคในระยะแรกของการติดเชื้อ จึงช่วยควบคุมการแพร่กระจายทั้งระบบ

อีกหนึ่งประโยชน์ของการให้วัคซีนในโพรงจมูก นอกเหนือจากการสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว ยังรวมถึงการให้วัคซีนที่ง่ายดาย ไม่ต้องใช้เข็มแบบใช้แล้วทิ้ง ไมส์ซากำลังยื่นคำขอพิจารณาให้มีการใช้วัคซีน MV-014-212 เป็นวัคซีนโดสแรก และเป็นวัคซีนบูสเตอร์สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดอื่น ๆ มาแล้ว”