เปิดตัว บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด กลุ่มทุนลึกลับ ที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ป้ายแดง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP โดยมี “ณัฐกร อธิธนาวานิช” เป็นกรรมการบริษัท ผู้กุมบังเฮียนดีลนี้
ล่าสุด "อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี" ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของบางจากฯ บิ๊กล็อต จาก บริษัท Capital Asia Investments Pte Ltd หรือ CAI จากสิงคโปร์ จำนวน 84,454,585 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.1335% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ด้วยราคาสูงสุดที่บริษัทฯ ซื้อหุ้นในช่วง 90 วันก่อนหน้านี้อยู่ที่ 40.25 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568
ส่งผลให้บริษัทฯ ถือครองหุ้น BCP รวมทั้งสิ้น 275,500,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.0083% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย
โดย "ณัฐกร อธิธนาวานิช" เปิดใจกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การลงทุนเป็นเรื่องของโอกาสอย่างแท้จริง ส่วนตัวมีความรู้ในด้านพลังงานอยู่แล้ว เพราะเคยทำดีลให้ IRPC มาก่อน และด้วย Charted Group มีความสนใจในการลงทุนธุรกิจในประเทศไทย จึงได้มีการเสนอการลงทุนในธุรกิจพลังงาน
เดิมทีมีความสนใจใน BCP อยู่แล้ว เพราะมองว่าเป็นองค์กรใหญ่และมีศักยภาพรอบด้าน อีกทั้งยังมีโอกาสในการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้อีกมากในอนาคต เพียงแต่จังหวะและโอกาสในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามันไม่ลงล็อค จนกระทั่งในวันนี้ที่ราคาลงมาอยู่ในจุดที่สมเหตุสมผลแล้ว ก็เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน
ปัจจุบัน BCP อยู่ในสถานะที่ต้องเร่ง Transform ไม่ใช่มุ่งเน้นแค่เพียงพลังงาน แต่ยังพัฒนาพลังงานในด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ด้วย Charted Group มีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูงที่ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเทคโนโลยีของอิสราเอลคือที่สุดของโลกนี้แล้ว
เป็นผลให้เกิดการตั้งบริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด (โดยบริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% และ Encore Issuances S.A. ถือหุ้นสัดส่วน 49%) ขึ้นร่วมกัน โดยบริษัทได้เริ่มทยอยซื้อหุ้น BCP มาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นมา จำนวน 3-4 ครั้ง
โดยสัดส่วนกว่า 10% มาจาก กองทุน Capital Asia Investments Pte Ltd.” (CAI) บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติสิงคโปร์ ส่วนที่เหลืออีก 10% มาจากการเจรจาขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้น กองทุนรายอื่นๆ รวมถึงบางส่วนเป็นการเก็บหุ้นในกระดาน จนกระทั่งทำให้ "อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี" ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ BCP ตามเป้าหมาย
มองว่า BCP เป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพอย่างมากในด้านพลังงาน เป็น Growth Platform นอกจากธุรกิจพลังงานแล้วก็ยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่มีความสำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศต่อไปได้ในอนาคต BCP เป็นบริษัทที่ดี และยังดีได้มากกว่านี้
แม้ว่าธุรกิจ Retail จะยังไม่แข็งแรงมากนัก แต่มองว่ายังมีมูลค่าที่ถูกซ่อนไว้อยู่ ซึ่งยังไม่นับรวมการควบรวมกิจการบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ซึ่งจะทำให้หลังจากนี้บางจากฯ จะมี Synergy เข้ามาเสริม โอกาสในการลงทุนจะไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศ แต่จะไปไกลต่างประเทศได้ด้วยในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้ BCP เป็นผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทย มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงทั้งในแง่ของรายได้และกำไร มีแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ โดยมองว่าด้วยช่องว่างของบางจากฯ ที่ยังมีอยู่สามารถดึงออกมาปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาลในอนาคต
เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างการเปลี่ยนด้านพลังงาน ซึ่งต้องอาศัยการจัดการของผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านธุรกิจพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสมัยใหม่ อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการควบรวมกิจการ ซึ่งจะสามารถ Optimize กระบวนการต่างๆ ระหว่างกิจการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการดึงศักยภาพขององค์กรออกมาได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังมองว่ามีโอกาสในการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ Ecosystem ของธุรกิจพลังงานสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI Space หรือแม้แต่ นิวเคลียร์ (Nuclear) ซึ่งล้วนแต่เป็นทิศทางใน Next wave of growth.
"มองว่าการลงทุนเพียงเงินที่ตีเป็นมูลค่าหลักหมื่นล้านแลกมาด้วยสินทรัพย์แสนล้านมันคุ้มค่ามาก BCP มีของดีที่ยังถูกซ่อนไว้อีกมาก นำมาต่อยอดได้ การดึงเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะผลักดันจะยิ่งเหมือนติดปีกให้ BCP บินได้ไกลกว่านี้อีก ทำให้มองอนาคตยังไปได้ไกลกว่านี้ เชื่อได้เลยว่าแม้ว่าจะมีเงินในมือแสนล้านจะ Copy บางจากฯ แล้วสร้างใหม่ให้เทียบเท่าก็ทำไม่ได้แน่ๆ"
ทั้งนี้ คาดว่าในการจัดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจาปี (Annual General Meeting : “AGM”) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 11 เมษายน 2568 นี้ เราก็จะเข้ามาร่วมประชุมด้วย เพื่อเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการว่าในตอนนี้ "อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี" ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BCP แล้ว
หลังจากนั้นทาง พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ประธานกรรมการบริษัท ก็จะเป็นผู้ไปหารือกับทางคณะกรรมการท่านอื่นๆ ในบอร์ดบริหาร เพื่อจัดสรรเก้าอี้ให้กรรมการใหม่ จำนวน 2 ตำแหน่ง เบื้องต้นคาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2568 จะได้เห็นความชัดเจนของโครงสร้างบอร์ดบริหาร รวมถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ และแผนการลงทุน
"อันที่จริงแล้วด้วยสิทธิ์ของการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว จะสามารถส่งกรรมการเข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารได้ 2 ตำแหน่ง ในเบื้องต้นมีการวางคนไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นทั้งผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ ความเข้าใจ มีเครือข่ายสัมพันธ์ เข้าไปร่วมวางกลยุทธ์ในการทรานฟอร์มบางจากฯ แล้ว คาดว่าไม่เกินเดือน พ.ค.68 จะได้เห็นความชัดเจน"
ถามว่าจะมีการปรับเปลี่ยนบอร์ดบริหารเลยหรือไม่ มองว่าอาจต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ และตนก็ไม่ได้มีความต้องการที่จะขึ้นไปนั่งเก้าอี้ประธานบริหาร (CEO) ด้วย ขอเป็นเบื้องหลังที่นำพาให้ BCP เจริญเติบโตดีกว่า ส่วนกรรมการ 2 ตำแหน่ง ที่จะเข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารได้มีการวางตัวไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ดี คงต้องรอให้การเข้าพบและปรึกษากับประธานกรรมการลุล่วงไปก่อน
ซึ่งหนึ่งในสองคือ ตนเอง ส่วนอีกท่านคือ Tomas Koch ดำรงตำแหน่ง Advisor to McKinsey & Company and Antler, Founder and Chairman TK&Partners เป็นผู้เชี่ยวชาญธุรกิจด้านพลังงานโดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประสบการณ์มามากกว่า 30 ปี จะเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาในการวางกลยุทธ์ต่างๆ ให้กับ BCP
"เชื่อว่าองค์กรใดที่มีเจ้าของ ธุรกิจจะไปได้ดีกว่า เป็นสัญญาณที่ดีกับนักลงทุนว่ากำลังจะมีผู้ที่รักษาและดูแลผลประโยชน์ให้ เชื่อว่าการมาในครั้งนี้จะผ่านไปด้วยดีและได้รับการยอมรับ เรามีเจตนาที่ดีที่จะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้กับบางจากฯ คาดว่ากว่า 70-75% จะประสบความสำเร็จ อีก 25-30% ที่เหลือเป็นเรื่องของภาวะตลาด ต้องยอมรับว่าธุรกิจพลังงานค่อนข้างผันผวน เป็นจุดอ่อนที่เราต้องปรับ มั่นใจได้ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นธุรกิจของ BCP แข็งแรงขึ้นเยอะ"