นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมาย และโฆษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กรณีหุ้น บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ที่ปรับตัวร่วงรุนแรง 2 วันทำการติดต่อกันนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันมาร์จิ้นโลน จำนวน 222 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยในปัจจุบัน ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่ได้ส่งหนังสือไปยังบริษัทให้มีการชี้แจงแต่อย่างใด เนื่องจากการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันมาร์จิ้นโลนของผู้บริหาร RS นั้น ถือเรื่องของผู้ถือหุ้นเอง และหุ้นถือเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคลจะนำไปทำเช่นไรก็เป็นสิทธิส่วนเฉพาะบุคคลนั้นๆ โดยตลท. มีหน้าที่เพียงกำกับดูแลและการเปิดข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น
"เรื่องการถูกบังคับขายของ RS ขณะนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ รับทราบเรื่องแล้วและไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่ว่าในรูปการครั้งนี้เป็นการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันมาร์จิ้นโลนของผู้ถือหุ้น RS ดังนั้นแล้วอำนาจในการกำกับดูแลจึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตของตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานก.ล.ต. มีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ถึงมาตรการกำกับและดูแลแรื่องบัญชีมาร์จิ้น เบื้องต้นคาดว่าไม่เกินกลางก.พ.68 จะได้เห็นความเป็นรูปธรรม"
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะรวบรวมข้อมูลการจำนำหุ้นผ่านระบบศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TSD มาเปิดเผยให้ผู้ลงทุนได้รับทราบ ซึ่งรูปแบบจะคล้ายกับการรายงานหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น (มาร์จิ้นโลน) ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผยแบบรายเดือน โดยคาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในเดือนก.พ. 68 นี้
ทั้งนี้ ข้อมูลเรื่องการจำนำหุ้น ถือเป็นปัญหาที่ ตลท.และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หารือกันมาอย่างต่อเนื่อง แม้การเปิดเผยข้อมูลการจำนำหุ้นอาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่เป็นการช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนมากขึ้น
โดยความตั้งใจของทางตลาดหลักทรัพย์ คือ ต้องการให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มาโฟกัสที่ธุรกิจของตัวเองมากกว่า เพราะการนำหุ้นไปจำนำไม่รู้ว่าผู้บริหารเหล่านั้นไปโฟกัสที่ตรงไหน ดังนั้น ทั้งทางตลาดหลักทรัพย์ และสำนักลงาน ก.ล.ต. ก็ได้มีการทำงานร่วมกันเพื่อสามารถทำหน้าที่กำกับดูแลและออกมาตรการมาช่วยเหลือเพิ่มเติม
ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างศึกษากรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ส่วน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะทำหน้าที่กำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนควบคู่การเปิดข้อมูลต่างให้แก่นักลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนหุ้นตัวนั้นๆ ร่วมด้วย