นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประเด็นที่วานนี้ ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ 2568 เพื่อช่วยในการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนภายใต้โครงการ Easy E-Receipt 2.0 เพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายตามเงื่อนไขโครงการ และสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท
โดยคาดว่าระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. และต่อเนื่องจดถึง 28 ก.พ. 68 นอกจากนี้ ทางกระทรวงการคลังยังมองว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 70,000 ล้านบาท และจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ หรือเข้าสู่ระบบภาษีเพิ่มราว 20% จากปีก่อน
มองว่ามาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ที่ภาครัฐออกมาในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญที่เข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้กลับมามีความคึกคักในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 67 นี้ได้ นอกเหนือจากกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ มองว่าโครงการ Easy E-Receipt 2.0 จะส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้า ทั้ง ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า สินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ ไอที และเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ CPALL CPAXT TNP COM7 CPN CRC จากการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีสำหรับร้านค้าที่ ออกใบกำกับภาษี/ใบรับ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt โดยสามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
รวมไปถึงกลุ่มค้าปลีกและส่ง สินค้าตกแต่งบ้าน วัสดุก่อนสร้าง อย่าง HMPRO GLOBAL และ DOHOME เป็นต้น ซึ่งตามปกติแล้วในช่วงปลายปีจะเข้าไฮซีซันของกลุ่มธุรกิจดังกล่าว อีกทั้งมองว่ายังเป็นผลบวกต่อกหุ้นกลุ่มร้านอาหาร เช่น MAGURO และ OKJ โดยจะเห็นได้ว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้น MAGURO และ OKJ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบรับปัจจัยบวก Easy E-Receipt
ในขณะที่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจาก Easy E-Receipt ร่วมด้วย เช่น MINT และ CENTEL ที่มีรายได้ส่วนหนึ่งจากธุรกิจร้านอาหาร แต่อย่างไรก็ดี ด้วยการเริ่มต้นมาตรการจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1/68 ดังนั้นแล้วจึงจะเห็นการรับอานิสงส์ทางอ้อมในช่วงต้นปีหน้าแทน อีกทั้งด้วยภาครัฐมีแผนที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่มุ่งเน้นในด้านของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ทำให้มองว่าหุ้นท่องเที่ยวจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า
"มองว่ามาตรการ Easy E-Receipt ที่ภาครัฐปล่อยออกมาจะเข้ามาสร้างบรรยากาศคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปีได้ โดยที่คาดว่ากลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์ในครั้งนี้เต็มๆ ได้แก่ หุ้นค้าปลีก ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน และร้านอาหาร อย่างไรก็ดี ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์สุดท้ายปี 67 นี้ไว้ที่ระดับ 1,300-1,500 จุด"
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ด้วยมาตรการ “Easy E-Receipt” กระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในครั้งนี้ ทำให้ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ กลุ่ม Commerce (กลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์, IT และห้างสรรพสินค้าจะได้ผลบวกมากสุด) ทางฝ่ายมองบวกต่อโครงการ Easy e-Receipt ที่จะช่วยหนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่ากลุ่มค้าปลีกที่มี basket size ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Home improvement เช่น HMPRO และ GLOBAL
ส่วนผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์ IT อาทิ COM7 จะได้ผลบวกมากสุด และห้างสรรพสินค้า ได้แก่ CRC และ CPN จาก traffic ที่สูงขึ้น จากระยะเวลาโครงการที่ไม่นาน บนสมมติฐานระยะเวลาโครงการเหมือนกับในปี 67 ที่ผ่านมาที่ ในขณะที่ CENTEL และ MINT จะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ
และกลุ่มร้านอาหาร MAGURO และ OKJ ได้ผลบวกจากโอกาสมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการดังกล่าว Top picks จากประเด็นข้างต้นคือ HMPRO แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท, CRC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท, CPN แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท, CENTEL แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท และ MAGURO แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท
อย่างไรก็ตาม สินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้สิทธิ "Easy E-Receipt " ในครั้งได้ ประกอบด้วย