thansettakij
จับตา 'คลัง" นัดถก "แบงก์ชาติ" รับมือพิษนโยบายทรัมป์ 2.0

จับตา 'คลัง" นัดถก "แบงก์ชาติ" รับมือพิษนโยบายทรัมป์ 2.0

15 เม.ย. 2568 | 10:18 น.
อัปเดตล่าสุด :15 เม.ย. 2568 | 10:26 น.

"พิชัย ชุณหวชิร" เตรียมพบผู้ว่าฯ ธปท. หารือรับมือความผันผวนเศรษฐกิจจากนโยบายทรัมป์ 2.0 กีดกันการค้าหวั่นกระทบค่าเงินบาท-เงินทุนสำรอง-ผู้ส่งออกไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เตรียมเชิญ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าหารืออย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยจากนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

 

การหารือดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 เมษายน 2568 โดยจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีท่าทีชัดเจนในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าและดึงดูดเงินทุนกลับประเทศสหรัฐ

จับตาค่าเงิน ทุนสำรองฯ

 

กระทรวงการคลังและ ธปท. จะร่วมกันประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะต่อค่าเงินบาท ซึ่งอาจผันผวนตามนโยบายการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนของสหรัฐ รวมถึงผลกระทบต่อเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ตลาดเงิน และตลาดทุนของไทย ซึ่งอาจได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายดังกล่าว

 

ชง ธปท. ช่วยผู้ส่งออก

 

นอกจากนี้ การหารือจะครอบคลุมถึงมาตรการที่ ธปท. สามารถดำเนินการเพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ให้กับระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออกของไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและอัตราแลกเปลี่ยน โดยอาจมีการพิจารณาถึงมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (monetary easing) และการดูแลสภาพคล่องในตลาดอย่างใกล้ชิด

 

จับตาทิศทางดอกเบี้ยโลก

 

อีกประเด็นสำคัญที่จะมีการหารือคือ ผลกระทบจากการที่ประเทศไทยถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากในปัจจุบัน ท่ามกลางแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยโลก กระทรวงการคลังและ ธปท. จะพิจารณาถึงแนวทางการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ อย่างเหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว

 

ทั้งนี้ การหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและ ธปท. ในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อให้หน่วยงานเศรษฐกิจของไทยมีความพร้อมในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในเวทีเศรษฐกิจโลก และวางแนวทางเชิงรุกสำหรับการบริหารจัดการเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อไป