สะเทือนเจ้าหนี้! ศาลฯรับคำร้องยื่นฟื้นฟูกิจการ APEX นัดไต่สวน 22 เม.ย.67
APEX เผยศาลล้มละลายกลางรับคำร้องฟื้นฟูกิจการของบริษัทแล้ว นัดไต่สวนฯ วันที่ 22 เม.ย.2567 จับตาหนี้หุ้นกู้ 765 ล้านบาท อยู่ในภาวะ"พักการชำระหนี้"
นายปกรณ์ ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ APEX แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( ตลท.) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 ระบุว่า ตามที่บริษัทฯได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 นั้น
บริษัทฯขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าต่อมาในวันที่ 23 มกราคม 2567 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ แล้ว
โดยศาลล้มละลายกลางได้กำหนดวันไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 22 เมษายน 2567 ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ รวมถึงความคืบหน้าอื่นเพิ่มเติมต่อไป
การที่ APEX ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขอฟื้นฟูกิจการนั้น สืบเนื่องจากบริษัทฯ ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง โดยไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ ( Default Payment) 1 ชุด รุ่น "APEX202A" วงเงิน 765 ล้านบาท จากเดิมที่ครบกำหนดในวันที่ 27 ก.พ. 2563 ก่อนจะมีการโครงสร้างหนี้และเลื่อนจ่ายเป็นวันที่ 26 ก.ย. 2565 แต่ก็ยังไม่ชำระหนี้ได้
ต่อมาที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้เมื่อวันที่ 5 ม.ค.67 มีมติอนุมัติหลักการให้บริษัทฯ กำหนดราคาเสนอขายหลักประกันที่ใช้จำนองกับหุ้นกู้ในราคาไม่ต่ำกว่ามูลหนี้รวมกับดอกเบี้ยค้างชำระ ดอกเบี้ยผิดนัดในอัตรา 10.25% ของต้นเงิน 765 ล้านบาท นับถัดจากวันฟ้องในวันที่ 25 ส.ค.65
ขณะที่นางณิชาภา ลิ่วศิริ ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ขายหุ้นทั้งหมด 23.0439% ให้แก่ นายปุนภพ ปุณณกิติเกษม ซึ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่ร่วมกับกลุ่มของนายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ที่ถือหุ้นรวมกัน 19.829%
อนึ่งตามมาตรา 90/12 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย การที่ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งรับคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท จะทําให้หนี้ที่บริษัทต้องชำระหนี้ อยู่ในภาวะพักชำระหนี้ "Automatic stay"
ผลประกอบการของ APEX ล่าสุด ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,423.01 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,356.73 ล้านบาท โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้น ติดลบ 933.72 ล้านบาท มีรายได้รวม 116.71 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 351.55 ล้านบาท (โดยขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 - 2565 ดังนี้ -302.95 ล้านบาท ,-421.20 ล้านบาท ,-374.49 ล้านบาท ,-396.90 ล้านบาท และ -351.55 ล้านบาท ตามลำดับ )
