มติครม.ทุบหุ้น AOT จุก ครึ่งวันมาร์เก็ตแคปวูบเฉียด 1.8 หมื่นล้าน

29 พ.ย. 2566 | 12:47 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ย. 2566 | 12:57 น.
12.4 k

หุ้น AOT ปิดการซื้อขายครึ่งวันลด 1.25 บาท หรือ -2.07% มาร์เก็ตแคปลดลงเฉียด 1.8 หมื่นล้านบาท เหตุนักลงทุนกังวลมติครม. ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า หวั่นกระทบรายได้จาก "คิง เพาเวอร์"

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ (28 พ.ย. 66) เห็นชอบในหลักการการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ศึกษาความเหมาะสมเรื่องดังกล่าว

ปรากฎว่าราคาหุ้น AOT บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) วันนี้(29 พ.ย.66) ปิดการซื้อขายช่วงเช้า ณ เวลา 12.30 น. ลดลง 1.25 บาท หรือ -2.07% มาอยู่ที่ 59.25 บาท จากราคาเปิดตลาดที่ 60.25 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 60.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 59.00 บาท

ราคาหุ้น AOT ที่ปรับลดลง 1.25 บาท ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป ของ AOT ลดลง 17,857.13 ล้านบาท จาก 864,284.85 ล้านบาท เหลือ 846,427.72 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ มองว่า 1 ใน 5 มาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอต่อ ครม. วานนี้ เพื่อมุ่งเป้าส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย คือ มาตรการที่ 3 การยกเลิกข้อเสนอผลิตภัณฑ์ปลอดภาษีสำหรับผู้โดยสารขาเข้านั้น จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อรายได้สัมปทานของ คิง เพาเวอร์ ที่มีต่อ AOT ปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ จ่ายเงินให้ AOT ตามยอดใช้จ่ายต่อหัวที่สนามบินของ AOT จำนวน 5 แห่ง (ทุกสนามบินยกเว้น DMK) สำหรับการขายสินค้าปลอดภาษี

การคำนวณการใช้จ่ายต่อหัวจะขึ้นอยู่กับพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่กำหนดให้กับ คิง เพาเวอร์ ตามมาตรการดังกล่าวการลดพื้นที่เชิงพาณิชย์ของ คิง เพาเวอร์ อาจส่งผลให้ คิง เพาเวอร์ ขอแก้ไขสัญญาเพื่อสะท้อนถึงการลดลงของยอดขายที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว AOT จึงอาจได้รับผลกระทบต่อรายได้สัมปทาน สำหรับขนาดของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เราสังเกตว่าการใช้จ่ายปลอดภาษีของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่การเดินทางออกมากกว่าการมาถึง ดังนั้น จึงจำกัดข้อเสียบางประการของ AOT

ขณะที่คาดหวังว่าผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับที่ คิง เพาเวอร์ นำเสนอ จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก โดยเฉพาะผู้ค้าปลีกที่มีไวน์และวิสกี้หลากหลายประเภท (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC) เครื่องสำอาง (CPN - ร้านเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า) และของว่างที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC)