บลจ.บัวหลวง รื้อเกณฑ์ลงทุน เข้มงวดขึ้นในทุกมิติ หลังเจอพิษ "STARK"

10 ก.ค. 2566 | 11:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ค. 2566 | 11:31 น.

บลจ.บัวหลวง ปรับรื้อเกณฑ์การลงทุน พร้อมใช้ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ช่วยในกระบวนการวิเคราะห์หุ้น รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในทุกมิติ หลังเจอกรณี "STARK"

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบัวหลวง (บลจ.บัวหลวง) เปิดเผยว่า การพิจารณาการลงทุนจากนี้ของ บลจ.บัวหลวง จะนำปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ หรือ (ESG

เข้ามาร่วมในกระบวนการวิเคราะห์หุ้น ก่อนที่จะมีการตัดสินใจลงทุน และใช้ในการทบทวนหุ้นที่อยู่ในพอร์ตทุกตัว เนื่องจากการลงทุนของ ทางบัวหลวง เป็นการลงทุนระยะยาว 2-3 ปี ไม่ใช่เป็นการเก็งกำไร

โดยจากนี้ก็จะเข้มงวดขึ้นในทุกมิติ ในประเด็นงบการเงิน เราคงต้องลงลึกมากว่านี้ เพราะที่ผ่านมาเราเชื่องบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีแล้ว คิดว่าเพียพอแล้ว แต่กรณีหุ้น "STARK" ทำให้เราต้องลงลึกมากขึ้น 

สำหรับความเสียหายจากการลงทุนหุ้น STARK นั้น แม้ทาง บลจ.บัวหลวง จะขายหุ้น STARK ออกมาหมดแล้ว แต่ด้วยราคาหุ้น STARK หลังจากที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดให้มีการซื้อขายครั้งสุดท้าย ในช่วงวันที่ 1-30 มิ.ย. 66 ก่อนที่จะขึ้น SP ยาวจนกว่าจะแก้เหตุการเพิกถอนได้ ทำให้มีกองทุนมีผลขาดทุนเฉลี่ย 600-700 ล้านบาท 

แต่หากดูการทำกำไรของ 4 กองทุนที่เรามีนั้น มี 2 กองทุนที่เราบริหารจัดการมีกำไร ซึ่งกองแรกมีกำไร 2,000 ล้านบาท และอีกกองทุนมีกำไร 900 ล้านบาท ซึ่ง 2 กองทุนดังกล่าว "ทำกำไรได้มากกว่าผลขาดทุน STARK ที่เกิดขึ้น" โดยการบริหารจัดการกองทุนนั้นมีทั้งกำไร และขาดทุนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่นักลงทุนต้องดูคือ งบการเงิน และกำไรสะสม ซึ่งจะสะท้อนมาที่ NAV ของกองทุน

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบัวหลวง

โดยปัญหาของหุ้น STARK ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ทำให้เกิดภาวะ Fund run หรือ ที่ผู้ถือหน่วยแห่เทขายหน่วยลงทุนออกมาจำนวนมาก แต่ในทางกลับกันนักลงทุนยังคงซื้อกองทุน บลจ.บัวหลวงต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะกองลดหน่อยภาษี SSF RMF รวมถึงกองทุน LTF แม้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้วก็ตาม แต่นักลงทุนยังมั่นใจเข้ามาซื้อกองทุ นLTF กับทาง บลจ.บัวหลวง สะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในการบริหารการลงทุนของ บลจ.บัวหลวง

สำหรับการดำเนินคดีกับทาง STARK นั้น ทาง บลจ.บัวหลวง ได้มีการหารือกับทาง สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) โดยจะดำเนินการฟ้องแบบกลุ่ม ร่วมกับ บลจ. ที่ได้รับความเสียหาย ส่วนจะมีการยื่นฟ้องได้เมื่อไรนั้น ยังต้องมีการหารือกันเพิ่มเติมอีกครั้ง 

"กรณี STARK นั้น ไม่ได้ทำให้ บลจ.บัวหลวง ปิดประตู ลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่ต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็เริ่มมีความกลัว หรือแหยงนิดนึง ในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลว่าเปิดเผยข้อมูลเพียงพอหรือไม่ เพราะคนจะเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ว่ามีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสมากกว่า แต่ด้วยวิชาชีพ เราอยากชนะ เหมือนกัน เราก็เหมือนเป็นหมอเงิน ซึ่งผู้จัดการกองทุนทั้งอุตสาหกรรมเลือกลงทุนหุ้นแล้ว ไม่อยากที่จะขาดทุน อยากที่จะทำกำไรให้กับผู้ลงทุนอยู่แล้ว" นายพีรพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บลจ.บัวหลวง ได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับ Wellington Management เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมองและแนวคิดการลงทุนกับประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ให้กับบุคลากรของ บลจ.บัวหลวง เพื่อนำมาวิเคราะห์และการตีมูลค่าหุ้น ปัจจัยเสี่ยงในมิติ ESG 

โดยมิติด้าน G หรือ Governance ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะบริษัทนั้นบริหารด้วยคน และการที่จะรู้ข้อมูลบริษัทเพิ่มเติม ก็จะต้องคุยกับทางผู้บริหารบริษัทอย่างสม่ำเสมอ ทั้งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO),ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO

มิติ S หรือ Social เราก็จะมีการสุ่มคุยกับพนักงานของบริษัท ว่าบริษัทได้มีการพัฒนาบุคลากร สวัสดิการ การดูแลชุมชนเป็นอย่างไรบ้าง 

ส่วนมิติ E หรือ Environmental จะดูความตั้งใจของบริษัทว่าจะช่วยลดหรือแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง  ทำให้เราต้องเรียนรู้การวิเคราะห์ด้าน climate analytics เพื่อนำไปสู่การวิเคหราะห์หุ้น

ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ บลจ.บัวหลวง ณ สิ้นเดือน พ.ค. 66 อยู่ที่ 8.45 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้ คาดว่าจะไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 ล้านล้านบาท เนื่องด้วยสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอน

ทำให้การลงทุนปีนี้ผลตอบแทนต่ำกว่าเป้าหมาย เช่น กองทุนจีน ที่ไม่ได้เป้าตามแผน และตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ต้องชะลอการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนทางการเมือง

สำหรับแผนการดำเนินงานของ บลจ.บัวหลวงในช่วง 3 ปีจากนี้ เน้นลงทุนที่เรียกว่า 2P คือ บุคลากร (People) และแพลตฟอร์ม (Platform) เนื่องจากพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนเปลี่ยนไป การเข้าถึงออนไลน์ และการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านออนไลน์มากขึ้น 

โดยในส่วนของบุคลากรบริษัทจะมีการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการคำแนะนำการลงทุน การบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนเพื่อให้นักลงทุนมีผลตอบแทนการลงทุนที่สม่ำเสมอและยั่งยืน

ส่วนด้านแพลตฟอร์มนั้นขณะนี้ ทางบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกพันธมิตรเพื่อพัฒนา "ดิจิทัลเวลธ์แพลตฟอร์ม" จาก ปัจจุบันที่เรามีแอปในการซื้อขายกองทุนอยู่แล้ว คือ บัวหลวงฟันด์เทรดดิ้ง(แอปBFT) และจะมีการพัฒนาฟีเจอร์ที่มี AI เข้ามาช่วยตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของลูกค้าซึ่งคาดว่าจะสรุปได้เร็วนี้