ขันเงิน ไทเทเนียม ยันไม่ใช่นอมินี ควักเงินส่วนตัว-กู้กองทุน ซื้อหุ้น MPIC

12 มิ.ย. 2566 | 16:34 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มิ.ย. 2566 | 16:36 น.

"ขันเงิน ไทเทเนียม" เปิดใจครั้งแรก ยันไม่ใช่นอมินี ย้ำควักเงินส่วนตัว-กู้กองทุน เข้าซื้อหุ้น "MPIC" พร้อมเตรียมแถลงแผนยุทธศาสตร์ภายใต้การนำของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ในเร็วๆนี้

(12 มิ.ย. 66) หลังการเข้ามาถือหุ้นใน บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ จํากัด (มหาชน) "MPIC" ถึง 1,202.13 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 92.46% ของนายขันเงิน เนื้อนวล แร็ปเปอร์ชื่อดัง "ขันเงิน ไทยเทเนียม" วงเงินกว่า 650 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าหุ้นละ 0.54 บาทโดยประมาณ

ล่าสุดนายขันเงิน ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อเป็นครัังแรกว่า การเข้าซื้อหุ้น MPIC นั้น เป็นการใช้เงินทุนส่วนตัว และเป็นการกู้บางส่วนจากกองทุน ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาว พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ใช่ "นอมินี" ของใคร

สำหรับการที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในครั้งนี้ เพราะมองเห็นโอกาสในการสร้างความเติบโตจากธุรกิจ และสิ่งที่เคยทำอยู่ให้เติบโตได้มากกว่าเดิม และพร้อมที่จะจับมือกับ พาร์ทเนอร์ ทุกๆ ราย เพื่อต่อยอดธุรกิจในด้านต่างๆให้เติบโตแบบคูณ 2 ไปพร้อมๆกัน

"การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้มองเรื่องหุ้น แต่มองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ถ่ายทอดไอเดีย และเข้ามาทำงานให้สำเร็จ โชว์ผลงานให้ทุกคนได้เห็น ซึ่งคาดว่าเร็วนี้จะมี Event ออกมาให้ทุกคนได้เซอร์ไพรส์ ในการปรับเปลี่ยนคาแรคเตอร์ครั้งนี้ของตน" นายขันเงิน กล่าว

ภาพประกอบ ผู้บริหาร MPIC

ด้านนายจิรัชย์ วงษ์ตระหง่าน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC เปิดเผยว่า การเข้ามาถือหุ้นของ "ขันเงิน ไทยเทเนียม" มีเป้าหมายชัดเจนที่จะยกระดับธุรกิจของ MPIC สู่ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แนวใหม่ แนวสร้างสรรค์ เพื่อรองรับเมกะเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง

"การเข้ามาซื้อกิจการของคุณขันเงินในครั้งนี้ เป็นการใช้เงินทุนส่วนตัวและเป็นการกู้บางส่วนจากกองทุน ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาว ยืนยันว่าคุณขันเงิน ไม่ใช่นอมินีของใคร โดยก่อนหน้านี้คุณขันเงินให้ความสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้ามาเทคโอเวอร์  MPIC เพราะมองเห็นโอกาสการทำธุรกิจในอนาคต" นายจิรัชย์ กล่าว

สำหรับธุรกิจเดิมของ MPIC ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทย และต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจผลิตภาพยนตร์ไทยจะยังดำเนินการตามปกติโดยมี บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ หรือ "MAJOR" ยังคงเป็นพันธมิตรเช่นเดิม

ขณะเดียวกันก็จะรุกสู่ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แนวใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบันเทิงให้ครอบคลุมมากขึ้น ในการจัด Event ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง หรือ Concert ทั้งศิลปินไทย และศิลปินต่างชาติ

อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมแถลงแผนยุทธศาสตร์ภายใต้การนำของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน