การหลอกลงทุนออนไลน์ไม่เคยหายไป และเหยื่อที่ตกเป็นผู้เสียหาย มูลค่าหลายแสน หลายล้านบาทก็ไม่เคยลดลง เคยสงสัยไหมว่า แม้ภาครัฐ และเอกชน จะประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงของเหล่ามิจฉาชีพมากเพียงใด แต่ก็มิได้ส่งผลให้ตัวเลขของเหยื่อผู้เสียหายจากการหลอกลงทุนลดจำนวนลง
ล่าสุด กองธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เผยแพร่งานวิจัยเรื่อง ดีเอสไอ นวัตกรรมการป้องกันแชร์ลูกโซ่ออนไลน์ เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันแชร์ลูกโซ่ นำไปสู่การสร้าง รวมถึงพัฒนาแอปพลิเคชันในการตรวจสอบ และป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่
ข้อมูลส่วนหนึ่งในการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลงทุนออนไลน์ มีความน่าสนใจ และถือเป็น 10 สาเหตุที่น่าตกใจ ซึ่งหากสามารถแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ได้ ย่อมเป็นการปิดประตูจากมิจฉาชีพที่มุ่งหลอกลวงด้วยการลงทุน หรือการหลอกลวงในลักษณะแชร์ลูกโซ่เหล่านี้ได้
ผลการวิจัยแชร์ลูกโซ่ที่น่าตกใจ 10 ข้อ
- ผู้เสียหายในคดีแชร์ลูกโซ่ร้อยละ 85 รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าเป็นการลงทุนแชร์ลูกโซ่ แต่ก็ยังลงทุน เพราะต้องการได้รับผลตอบแทนสูงตามการเชิญชวน มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่ไม่รู้เลยจริงๆว่าที่ตนเองนำเงินไปลงทุนเป็นการลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่
- ผู้เสียหายในคดีแชร์ลูกโซ่ส่วนใหญ่ร้อยละ 65 โอนเงินเข้าบัญชีชื่อบริษัท แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าท่านจะโอนเงินเข้าบริษัทที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฏหมาย กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่ถูกหลอกลวงจากแชร์ลูกโซ่
- ผู้เสียหายจากการถูกหลอกลงทุนในแชร์ลูกโซ่ ไม่กล้าเข้าแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากเกิดความอับอาย หรือไม่ต้องการให้ครอบครัวรับรู้ เป็นต้น จึงทำให้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพียง 1 ใน 5 ของจำนวนผู้ที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น
- สื่อโซเชียลมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของเหยื่อ เนื่องจากผลการวิจัยพบว่า กว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่ ได้รับการชักชวนให้ลงทุนจากทางโซเชียลมีเดีย มากกว่าช่องทางอื่นๆ