Forward test การฝึกฝนภาคปฏิบัติ ทางเดินสู่ความสำเร็จ

01 มี.ค. 2566 | 13:58 น.
อัปเดตล่าสุด :01 มี.ค. 2566 | 13:58 น.
694

Forward test การฝึกฝนภาคปฏิบัติ  ทางเดินสู่ความสำเร็จ : คอลัมน์ Investing Tactic โดย นายศิระ ลี้เจริญรักษา (โค้ชอ้อ) วิทยากรพิเศษ โครงการ SITUP

หากเพื่อนๆ จะต้องขึ้นขับเครื่องบิน เพื่อนๆก็คงจะอยากมีชั่วโมงบินที่สูงที่สุดเท่าที่จะมีได้ก่อน ที่จะขึ้นบินจริงๆ ถูกไหมครับ  เพราะว่าเรามองเห็นความเสี่ยงและหายนะก้อนใหญ่มาก ที่จะตามมาหากเกิดการผิดพลาด ในฝั่งของการเล่นหุ้น การทำ Forward test เป็นการเพิ่มชั่วโมงบิน หรือการเพิ่มค่าของประสบการณ์  โดยที่เรายังไม่ต้องขึ้นบินจริงๆ ได้   วันนี้ผมจะเล่าสิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์การทำ Forward test อย่างต่อเนื่อง 4 ปี  

ก่อนอื่นผมขออธิบายก่อนว่าการทำ Forward test  คืออะไร ผมนิยามง่ายๆว่า มันคือการฝึกฝนภาคปฏิบัติ   วิธีการทำ Forward test  คือ การทดลองเทรดบนตลาดจริงในช่วงเวลาเรียลไทม์ แต่ไม่ได้ใช้เงินจริงๆ  ส่วนสำคัญคือการจดบันทึกทุกอย่าง อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ เสมือนการทำวิทยานิพนธ์หนึ่งเล่ม

ในนั้นจะมีตั้งแต่การฝึกตั้งเป้าหมายทางการเงินของเรา การฝึกวางแผนจัดการบริหารเวลาส่วนตัว การฝึกเลือก Product ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย  การฝึกวาง Money Management เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลประโยชน์สูงสุด การกันเงินสำรองเพื่อสภาพคล่อง การฝึกประกอบหน้าเทรดตามองค์ความรู้ที่เราเรียนมา  

ในส่วนการเลือกหุ้น จะมีการคำนวณความคุ้มค่า ในแง่ของเวลา ผลตอบแทน ความเสี่ยง เป็นการฝึกปฏิบัติตามแผน   และการจดบันทึกอย่างละเอียด จะมองเห็นจุดอ่อน จุดบกพร่องของระบบ แล้วสรุปภาพรวมเพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาต่อไป

ก่อนหน้านั้น ผมเรียนรู้เรื่อง Trade set up มาค่อนข้างหลากหลาย  พอเรียนรู้เสร็จปุ๊บก็นำไปใช้งานในทันทีเลย ผลลัพธ์คือเราควบคุม Trade set up นั้นๆ ไม่ได้ จากความไม่เข้าใจจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละ Trade set up อย่างแท้จริง  ทำให้ไม่สามารถทำกำไรได้  และในตอนนั้นก็ยังไม่รู้วิธีแก้ไข ว่าจะต้องทำอย่างไร 

แต่หลังจากที่ผมได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของครูไก่ กนิษฐา รอดดำ และได้เรียนรู้จนจบหลักสูตรการเรียนในภาคทฤษฎี  ครูไก่ให้นักเรียนทุกคนทำ  Forward test ก่อนเทรดจริง  ครูไก่สอนว่า คนเราจะทำอะไรต้องมีความเชื่อมั่น  และความเชื่อมั่นนั้นเกิดขึ้นจากตนเอง ไม่ใช่เกิดจากการเชื่อคนอื่นแม้กระทั้งตัวครูเอง 

ครูให้ผมใช้หลักกาลามสูตรตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  คือให้เราทดลองเองจนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง  จึงจะเกิดความเชื่อมั่นความศรัทธาและเข้าใจอย่างถ่องแท้     ทำให้ผมเริ่มมองภาพรวมของอาชีพเทรดเดอร์ในมุมมองที่ดีขึ้น  แล้วเริ่มเข้าใจว่าอาชีพเทรดเดอร์ก็มีระบบการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ  คือหลังจากศึกษาเนื้อหาจนจบหลักสูตรแล้วก็ต้องมีการทดลองงาน หรือการฝึกงานให้ผ่านเกณฑ์ก่อนถึงจะไปทำงานจริงๆ ได้

ช่วงแรกที่ผมเริ่ม ได้ทำทั้งการ  Back test และ Forward test มันเหมือนเป็นการวัดความเข้าใจในสิ่งที่เราเรียนรู้มาว่าถูกผิดตรงไหนอย่างไร  สิ่งที่เกิดขึ้นคือทำให้ผมเข้าใจว่ามันมีหลายจุดมากที่ผมยังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด เพราะในหนึ่ง Trade set up ที่ยิ่งมีความสมบูรณ์มากเท่าใดนั้น ก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากเช่นกัน 

อย่างเช่น Trade set up ของครูไก่ที่ประกอบไปด้วยกระบวนการหลายอย่าง ประกอบไปด้วยองค์ความรู้หลายด้านเข้าด้วยกัน บางอย่างก็ซับซ้อนเกินที่จะใส่ลงในเงื่อนไขของ Robot ด้วยซ้ำ ทำให้คนธรรมดาแบบผม  กว่าที่จะพัฒนาความเข้าใจในระดับที่แค่เรียกว่าไม่มั่วได้นั้นก็ใช้เวลานานเป็นปี  ผมทำ Back test และ Forward test ในช่วงแรกจนคิดว่าเราเข้าใจมันได้ดีพอแล้ว  มีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว  จนรู้สึกตัวว่าการประกอบ  Trade set up นี้เป็นเรื่องง่าย  ทำได้อย่างราบรื่น  จึงเริ่มแบ่งเงินส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในการทำ Forward test ควบคู่ไปอย่างต่อเนื่อง 

ใน Step ถัดมามันเป็นการฝึกฝนในด้านของอารมณ์ หรือ Mindset  เพราะในระหว่างการทำ Forward test  เราได้อยู่หน้างานจริง เกิดความโลภ ความกลัว ความเสียดายจริง  ต้องอดทนรอวันเวลา  และต้องยอมรับความจริง เมื่ออยู่หน้างาน ในสภาวะที่ตลาดเล่นกันโหด บางครั้งเราจะมีอารมณ์ที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ตามการขึ้นลงแรงๆ ของตลาด 

หากเรายังอยู่บน Trade set up หรืออยู่ในวินัย มันจะเหมือนกับเรามีจุดยืนที่มั่นคงพอที่จะไม่เหวี่ยง   หรืออาจจะยังดึงตัวเองกลับมาได้เมื่อเรากลับมามองหน้ากระดาษใน Forward test  ฉะนั้นเวลาเจอปัญหาเราแทบจะยังไม่ต้องไปถามใคร เพราะคำตอบของปัญหาต่างๆ ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาดีๆ มันอยู่ในสิ่งที่เราจดบันทึกเอาไว้ทั้งหมด  ซึ่งในส่วนนี้แตกต่างจากการทำ  Back test อย่างมาก  ทำให้ผมรู้จักควบคุมอารมณ์ มองเห็นอารมณ์ ปรับปรุง พัฒนา ได้รู้ว่าตนเองนั้นมีจุดอ่อนจุดเสีย และมีจริตที่ชอบแบบไหน 

ในแต่ละคนหรือในแต่ละช่วงชีวิตของคน ผมคิดว่าแตกต่างกันมาก  ซึ่งถ้าให้ผู้อื่นสอน หรือให้ผู้อื่นแก้ไข  มันอาจจะยากที่จะตรงจุดจริงๆ ของเราได้   ซึ่งในส่วนนี้ผมคิดว่าผมโชคดีมาก  ที่นอกจากได้เจอกับครูที่ตรงจริตในการสอนแล้ว  ผมก็ยังได้เจอกับ Trade set up  ที่ตรงจริตและความต้องการของตัวเองในช่วงวัยนี้พอดีด้วย  

แม้ว่าเพื่อนๆ อาจจะยังไม่เจอ หรือพบว่า จริตของตนเองไม่ตรงกับ Trade set up  ที่ทำการ Forward test  อยู่ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่ และเปลี่ยนแปลงวิธีการได้ทันท่วงที  โดยที่ไม่ต้องเกิดความเสียหายใหญ่ๆ ในต้นทุนจริงของเรา  และหากเพื่อนๆ ได้หาจนเจอแล้ว ผมคิดว่า ถัดจากนั้นมันจะใช้เวลาไม่นาน

มีเรื่องง่ายเรื่องหนึ่งที่ผมเจอจากการทำ  Forward test  อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งก่อนหน้านี้ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ   คือเรื่องของวินัย  เมื่อเราทำ Forward test จนติดเป็นนิสัย มันจะเกิดวินัยขึ้นกับตัวเราเองโดยปริยาย  เพราะ ณ.หน้างานตอนนั้นๆ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร หรือเราจะไม่พร้อมแค่ไหน     แต่ถ้าเราได้ทำการจดบันทึกการเทรดลงใน Forward test ไปแล้ว  เราก็ต้องเคาะเม้าส์ทำตามหน้ากระดาษที่เราจดบันทึกไปอย่างนั้น  เนื่องจากเราได้ทำการบันทึกไปแล้ว  และเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเรากลับไปดู  จะรู้เลยว่าการเล่นหุ้นให้มีวินัยมันก็ทำได้ง่ายๆ แค่นี้เอง 

จากจุดแรกที่เปลี่ยนจากเงินสมมุติมาใช้เงินจริงนั้นก็มีความแตกต่างและเกิดปัญหา  ถัดมาเมื่อเราทำกำไรได้แล้วต้องปรับจำนวนเงินขึ้นอีก step   มันก็มีความแตกต่างและเกิดปัญหา  หรือในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตาม cycle ใหญ่ ที่มีรอบระยะเวลาเป็นสิบๆ ปีนั้น ก็จะมีความแตกต่างและเกิดปัญหาใหม่ๆ ขึ้น ซึ่งการทำ Forward test จะช่วยในส่วนนี้ด้วย 

เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมจึงไม่ได้แยกหรือหยุดการทำ Forward test  ซึ่งจริงๆ ในบางครั้งผมก็ไม่ได้สังเกตว่าโลกจริงกับโลกที่สมมุตินั้นเข้ามาร่วมกันเมื่อไหร่หรือผมอยู่ฝั่งไหน  เพราะผมก็แค่ทำไปพร้อมๆ กันได้อย่างมีความสุข  ณ.จุดนี้ผมเห็นประโยชน์และความสำคัญของการทำ  Forward test  อย่างมาก  มันทำให้เรามีความพร้อมจริงๆ  ก่อนที่จะลงไปสู้รบในตลาดหุ้นที่คนจำนวน 95% เป็นฝ่ายแพ้   และหากมีคำถามจากเพื่อนๆ ว่าแล้วเมื่อไหร่ล่ะ ถึงจะเรียกว่าพร้อม หรือมีชั่วโมงบินที่เพียงพอแล้วที่จะขึ้นบินจริงๆ ได้   ผมจะตอบแบบนี้

มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า ทุกคนจะได้เจอหลังจากการทำ Forward test ที่มากพอแล้ว  คือเพื่อนๆ จะเริ่มรู้สึกถึงความสำเร็จ และมั่นใจว่าตนเองไปถึงจุดของความสำเร็จได้แล้ว  แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงเลย ณ. วันนั้นผมคิดว่า คงไม่ต้องมีใครมาบอก เพื่อนๆ จะกล้าพอที่จะบอกกับตัวเองว่า เราพร้อมแล้ว

Credit : ข้อมูลองค์ความรู้จากครูไก่ กนิษฐา รอดดํา