STARK ยันแผน"ซื้อหุ้นคืน"ไม่ใช้เงินเพิ่มทุน PP อุบไปใช้อะไรต่อ

22 ธ.ค. 2565 | 11:35 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ธ.ค. 2565 | 18:41 น.

STARK แจงแผน "ซื้อหุ้นคืน" ไม่ได้ใช้เงินเพิ่มทุน PP เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น ถกแผนการใช้เงินดังกล่าว หลังล้มดีลซื้อ LEONI จนมีสภาพคล่องเหลือ

 

วันนี้ (22 ธ.ค.65)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อวานนี้ บมจ.สตาร์ค  คอร์เปอเรชั่น (STARK) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ฯ มีมติอนุมัติให้ฝ่ายบริหารกำหนดรายละเอียดโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) เมื่อบริษัทมีกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกิน

          

อย่างไรก็ดี เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท ประกอบด้วย  (1) กระแสเงินสดจากการประกอบกิจการของบริษัท และ (2) เงินเพิ่มทุนที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การใช้เงิน บริษัทจึงอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดวัตถุประสงค์และแผนการใช้เงินเพิ่มทุนใหม่ และเมื่อรายละเอียดต่าง ๆ ครบถ้วนจะนำข้อมูลและผลการพิจารณาเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
 

 

อย่างไรก็ดีเช้าวันนี้ (22 ธ.ค.65 ) STARK ชี้แจงเพิ่มเติม ว่า โครงการซื้อหุ้นคืน นั้น จะดำเนินการจากสภาพคล่องส่วนเกินจากการประกอบกิจการของบริษัทเมื่อมีกำไรสะสมเพียงพอในจำนวนที่ไม่เกินกว่ากำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของบริษัทในงบเฉพาะกิจการ ซึ่งสอดคล้องกับข้อบังคับของบริษัทและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
          

อนึ่ง เนื่องจากบริษัทได้ใช้สิทธิตามกฎหมายและข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิกถอนสัญญาซื้อขายหุ้นกลุ่ม LEONI ส่งผลให้บริษัทไม่ได้ใช้เงินเพิ่มทุนที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้น PP เพื่อเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวอีกต่อไป แต่บริษัทยังคงมีนโยบายที่จะใช้เงินจำนวนดังกล่าวเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น รวมถึงการขยายกิจการและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการประกอบกิจการของบริษัท

 

โดยคณะกรรมการจะนำเสนอแนวทางการใช้เงินจำนวนดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้พิจารณาเพิ่มเติมวัตถุประสงค์การใช้เงินและแผนการใช้เงินเพิ่มทุนใหม่ดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

การเคลื่อนไหวราคาหุ้น STARK  ร่วงลงอย่างต่อเนื่องจาก 3.32 บาทในวันที่ 9 ธ.ค.65 จนถึง 19 ธ.ค.65  ลดลง 1.04 บาท หรือลดลงถึง 31% มาปิดที่ 2.28 บาท