ซีอีโอ “วายแอลจีฯ” แนะลงทุนทองคำ 5-10% ของพอร์ต ป้องกันเสี่ยงสู้เงินเฟ้อ

21 พ.ย. 2565 | 18:14 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2565 | 01:57 น.

ซีอีโอ “วายแอลจีฯ” แนะลงทุนทองคำ 5-10% ของพอร์ต ช่วยป้องกันเสี่ยง สู้เงินเฟ้อ- เศรษฐกิจโลกถดถอย เผยสถิติ 50 ปีผลตอบแทนลงทุนทองคำมีแต่บวก ไม่เคยติดลบ ทิศทางจากนี้ยังเป็นช่วงขาขึ้นของราคาทอง

นางสาวฐิภา  นววัฒนทรัพย์  ประธานเจ้าหน้ามี่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  กล่าวในงานสัมมนา WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย # ปี 3  ช่วงเสวนา “ลงทุนทางเลือก ช่องทางทำกำไร” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ Than Digital  และเนชั่นกรุ๊ป (21 พ.ย. 2565) ใจความสำคัญระบุว่า

 

ตลาดทองคำในปี 2565 ราคาลดลงต่อเนื่อง แต่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น มองว่าวันนี้ราคาทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยทุกอย่างรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ทั้งสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงโควิดที่เป็นภัยคุกคามของโลก

ซีอีโอ “วายแอลจีฯ” แนะลงทุนทองคำ 5-10% ของพอร์ต ป้องกันเสี่ยงสู้เงินเฟ้อ

 

ซีอีโอ วายแอลจีฯ กล่าวอีกว่า ทำไมทองคำถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และทำไมแนะนำนักลงทุนว่าควรจะมี ทั้งนี้จากข้อมูลของสภาทองคำโลก (world gold council) ได้ทำตัวเลขออกมา ระบุว่า สัดส่วนที่ดีที่สุดในการลงทุนของพอร์ตการลงทุนใหญ่ อย่างน้อยควรจะมีทองคำอยู่ประมาณ 5-10%  และยังได้ทำข้อมูลออกมาให้ดูว่า ถ้าไม่ลงทุนในทองคำเลยจะเป็นอย่างไร กับผลตอบแทนถ้ามีลงทุนทองคำ 5% ในพอร์ตการลงทุนจะได้เท่าไร และถ้ามีทองคำ 10% ในพอร์ตการลงทุน ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร

 

ทั้งนี้ผลออกมาว่าในช่วง 10% ของพอร์ตการลงทุน จะทำให้พอร์ตของนักลงทุนถ้าจะต้องติดลบ ก็จะติดลบน้อยลงประมาณ 2% แต่ถ้าจะได้กำไร ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์กว่า ๆ  จะเห็นได้ว่าทองคำเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนควรมาลงทุนในตลาดทอง หรือควรจะมีทองคำติดพอร์ตไว้ โดยสัดส่วนที่ดีอยู่ที่ 5-10%  แล้วแต่ความถนัดของนักลงทุน

 

“อย่างในช่วงนี้จะเห็นว่าทองคำให้ผลตอบแทนดีในช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อมากขึ้นเท่าไร  เช่น เงินเฟ้อมากกว่า 3% ผลตอบแทนของราคาทองคำจะอยู่ที่ 14%  แต่ถ้าเงินเฟ้อต่ำกว่า 3% ผลตอบแทนของทองคำจะอยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งเป็นตัวเลขสถิติตั้งแต่ปี 1970 วันนี้เงินเฟ้อไทยอยู่ที่ประมาณ 7% กว่า ๆ ก็เป็นตัวเลขที่ดีว่าการลงทุนก็ควรจะมีทองคำ”

 

อย่างไรก็ดีจากสถิติใน 50 ปีที่ผ่านมา ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแต่ละปีประมาณ 8% และใน 20 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยให้ผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 10%  และ 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.69% ซึ่งแม้ผลตอบแทนจะต่ำลง แต่ก็ไม่ติดลบ และเป็นอีกตัวหนึ่งที่ช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ และใน 2 ปีที่ผ่านมาที่มีสถานการณ์โควิด-19 ราคาทองคำปีเดียวปรับขึ้นประมาณ 25% แต่พอคนหมดความกังวลจากโควิด ราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงมา ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งในแง่ของการลงทุนระยะยาว ทองคำก็ให้ผลตอบแทนที่ถือว่าไม่แย่นัก

 

ซีอีโอ “วายแอลจีฯ” แนะลงทุนทองคำ 5-10% ของพอร์ต ป้องกันเสี่ยงสู้เงินเฟ้อ

 

ขณะเดียวกัน ทองคำยังช่วยป้องกันความเสี่ยงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดี เช่นปี ค.ศ. 2008 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาทองคำขึ้นไปประมาณ 47% และปี 2020  หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิดในเดือนมีนาคม ราคาทองคำปรับขึ้นประมาณ 25% จะเห็นได้ว่าเมื่อไรที่เกิดความกลัว หรือเกิดความกังวล คนก็จะเทขายสินทรัพย์บางตัว และเข้ามาถือในทองคำมากขึ้น

 

นอกจากนี้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ถือเป็นข้อดีสำหรับนักลงทุน เนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าจะมีรายใหญ่เข้ามาทุบราคาให้ร่วงลง หรือทำให้ราคาสูงขึ้น เพราะในตลาดฯทองคำเป็นรองสินทรัพย์เพียง 2 ตัวคือ พันธบัตร และดัชนีเอสแอนด์พี 500 และตัวที่ 3 คือทองคำ วอลุ่มในการเทรดซื้อ-ขาย โดยตลาดทองคำโลกในแต่ละวันจะเทรดกันอยู่ประมาณ 1.3-1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม  ณ ปัจจุบันยังไม่มีความแน่นอนว่าโลกจะเกิด Recession (ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ) แต่ ณ วันนี้มีการคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์(วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ) ว่ามีโอกาสเกิดขึ้น 35% ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯแบบขึ้นแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปีนี้ ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบก็อาจจะเข้าไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

 

สำหรับปีหน้าโลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ “ไม่ทราบ” เพราะเป็นการคาดการณ์อนาคต แต่เมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นก็แนะนำว่าการกระจายพอร์ตการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่ควรลงในสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง และทองคำเป็นทางเลือกหนึ่งของนักลงทุนที่มีผลตอบแทนที่ดี