"สาธิต วิทยากร" ทุ่ม 8.8 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BH จาก KKP ถือ 5.39%

11 พ.ย. 2565 | 07:39 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2565 | 15:22 น.
1.3 k

"สาธิต วิทยากร" ควัก 8,890 ล้านบาท กลับเข้าซื้อหุ้น บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH ) จำนวน 42.95 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 5.3968% ที่ราคาหุ้นละ 207 บาท จาก KKP และ บล.เกียรตินาคินภัทร

 

นายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC แจ้งในแบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการหรือแบบ 246-2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ถึงการได้มาหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 โดยเป็นการซื้อหุ้นบิ๊กล็อตในจำนวน 42,946,700 หุ้น หรือสัดส่วน 5.3968% โดยซื้อจากธนาคารเกียรตินาคินภัทร และบล.เกียรตินาคินภัทร จากเดิมก่อนหน้านี้ไม่ได้ถือหุ้น BH 

 

\"สาธิต วิทยากร\" ทุ่ม 8.8 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BH จาก KKP ถือ 5.39%

 

อนึ่งเมื่อวันที่ 8 พ.ย.65 ปิดตลาดหุ้น พบมีรายการซื้อขายบิ๊กล็อตหุ้น BH  2 รายการ จำนวน  42,946,700 หุ้น  ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 207 บาท มูลค่าสูงสุด 8,889.97 ล้านบาท 

 

อ่านเพิ่ม  :  

"สาธิต วิทยากร"แจ้ง ก.ล.ต. ขายหุ้น BH เกลี้ยงพอร์ต

 

การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น BH ปิดซื้อขายเมื่อ 10 พ.ย.65 ที่ราคา 233.00 บาท ปรับขึ้น 9.00 บาท หรือบวก 4.02% มูลค่าซื้อขาย 2,176.62  ล้านบาท โดยระหว่างวันราคาปรับสูงสุดที่ 238.00 บาท และต่ำสุดที่ 231.36 บาท 

 

ขณะที่ราคาปรับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์อยู่ที่ 238.00 บาท และราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ อยู่ที่ 132.50 บาท 
 

 

โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ BH  ณ วันที่ 26 ส.ค. 2565  พบว่า บล.เกียรตินาคินภัทร ถือหุ้นจำนวน 27,002,100 หุ้น หรือ 3.40% เป็นอันดับ 7 และธนาคารเกียรตินาคินภัทร ถือหุ้น 16,501,600 หุ้น หรือ 2.08% เป็นอันดับ 8

 

การเข้าซื้อบิ๊กล็อตหุ้น BH ในครั้งนี้ ทำให้นายสาธิต วิทยากร กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 ของ  BH 

 

 

\"สาธิต วิทยากร\" ทุ่ม 8.8 พันล้าน เข้าซื้อหุ้น BH จาก KKP ถือ 5.39%

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ส่องหุ้น บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ระบุว่า รายงานกำไรสุทธิ Q3/65 ที่ 1,501 ล้านบาท (+407% YoY, +29% QoQ) ดีกว่าที่ตลาดคาด +23% จากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยชาวต่างชาติ (+214% YoY, +26% QoQ) และชาวไทย (+10% YoY, -1 QoQ) โดย GPM เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ อยู่ที่ 48.4% (Q3/64 = 37.5%, Q2/65 = 46.2%) จากรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น

 

แม้ต้นทุนมีการปรับขึ้นจากค่าธรรมเนียมแพทย์และต้นทุนสินค้า แต่เมื่อเทียบกับรายได้ที่เติบโตสามารถ cover ต้นทุนได้ ทำให้ต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 51.6% (Q3/64=53.8%, Q2/65=62.5%) และส่งผลให้ SG&A/sale ลดลงทั้ง YoY และ QoQ อยู่ที่ 17.6% (Q3/64=18.1%, Q2/65=28%)

 

เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปี 2565E/66E ที่ 3,970 ล้านบาท (+226% YoY) และ 4,192 ล้านบาท (+5.6% YoY) โดยกำไรสุทธิ 9M65 มีสัดส่วนอยู่ที่ 85% ของกำไรสุทธิปี 2565E ทั้งนี้ มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565E/66E ขึ้นหลัง Analyst meeting ในวันที่ 17 พ.ย.65 
ราคาหุ้น underperform SET -7% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความกังวลต่อรายได้หดตัว แต่ทั้งนี้กำไร Q3/65 ออกมาดีกว่าคาดจากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง 

 

คงแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 245.00 บาท อิง 2566E PER ที่ 45.0x