KLINIQ น้องใหม่ไอพีโอ เข้าเทรดวันแรก 7 ม.ค.นี้ ชู 3 จุดแข็ง

06 พ.ย. 2565 | 12:45 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ย. 2565 | 19:59 น.
553

บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) มั่นใจเข้าเทรดวันแรกร้อนแรง ชูจุดเด่น Growth Stock และ 3 จุดแข็ง แบรนด์-โมเดลธุรกิจ - การเงินแกร่งไร้หนี้ที่มีดอกเบี้ย ขณะที่ผถห.เดิมพร้อมใจ Lock up 100%

 

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 หุ้น KLINIQ เตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ โดยมั่นใจว่า หุ้น KLINIQ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ความงามครบวงจร คลินิกเจ้าแรกของประเทศไทย เข้าระดมทุนตลาดหุ้นสำเร็จ ภายใต้ 3 จุดแข็ง คือ

 

  • 1.แบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ นวัตกรรมเครื่องมือ US FDA และประสบการณ์มายาวนานกว่า 13 ปี
  • 2.จุดแข็งในเรื่องของโมเดลธุรกิจ Asset Light และ
  • 3.ฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (Cash Rich-Zero Debt) รวมทั้งการมีลูกค้ากว่า 2 แสนราย เข้ามาใช้บริการซ้ำ ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Income) 

 

เมื่อผนวกกับแผนการขยายคลินิกเวชกรรม 6-10 สาขา/ปี ทั้งในกรุงเทพฯ หัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง ทำให้เห็นภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ KLINIQ ในช่วง 1-3 ปีขางหน้า

 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุน VI ที่ได้เข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมใจ Lock up หุ้น 100% เป็นเวลา 6 เดือน
 

 

เปิดแผนใช้เงินขยายสาขา-จัดซื้อเครื่องมือ

 

โดย KLINIQ เตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขา/ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรม และจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท

 

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า KLINIQ มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 110 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 160 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานไม่เกิน 6 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณไม่เกิน 9 ล้านหุ้น และนักลงทุนสถาบันและบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 45 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 28, 31 ตุลาคม และ 1 พฤศจิกายน 2565 ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,470 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 5,390 ล้านบาท 

 

ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 31.78 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565) ซึ่งเท่ากับ 169.60 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.77 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ 

 

KLINIQ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO คือ กลุ่มทองวัฒน์ ถือหุ้น 52.35% บมจ. เอกชัยการแพทย์ ถือหุ้น 7.27% และนายรัฐพล กิตติชัยตระกูล ถือหุ้น 7.16% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น 

 

ด้านนายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DAOL) ในฐานะปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย KLINIQ กล่าวว่า มั่นใจว่า KLINIQ จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เห็นได้จากในช่วงระหว่างเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ มีนักลงทุนสถาบัน นักลงทุน VI ให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดจองล้น โดยมีสัดส่วนสถาบันจองเกือบ 40%  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตอบรับที่ดี เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่เกิน 60,000,000 หุ้น ราคาเสนอ 24.50 บาท/หุ้น

 

“ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ KLINIQ มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ลูกค้าของบริษัทฯ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงแผนขยายคลินิกเวชกรรม 6-10 สาขา/ปี เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงชาวต่างชาติ จะเป็นสปริงบอร์ดให้ผลการดำเนินงานของ KLINIQ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง”

 

ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2565  KLINIQ มีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 451.59 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60.00 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของปี 2564 ทั้งปีอยู่ที่ 129.25 ล้านบาท