ซมพิษหนี้ครัวเรือนเปราะบางไทยทะลุ2ล้านหลัง

05 พ.ย. 2565 | 08:29 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2565 | 15:36 น.
527

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ รายงาน ครัวเรือนเปราะบางไทยทะลุ 2.1 ล้านครัวเรือน เพิ่มถึง 24% เทียบก่อนโควิด น่าห่วงคนชั้นกลางเศรษฐกิจอ่อนแอเพิ่ม แนะป้องกันไว้ก่อนเพื่อไม่ต้องใช้เวลายืดยาวในการแก้ปัญหา

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ รายงานว่า ครัวเรือนไทยท่ีเปราะบางทางการเงินมีจำนวนมากขึ้น  โดยให้รายละเลียดว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ยังสูง ส่งผลทำให้ครัวเรือนไทยจำนวนมากยังคงมีความเปราะบางจากปัญหาหนี้สูง

 

 EIC ประเมินความเปราะบางทางการเงินของไทยในระดับครัวเรือนด้วย Machine learning พบว่า “ครัวเรือนเปราะบาง” หรือ ครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้สูงเมื่อเทียบกับรายได้และทรัพย์สิน มีจำนวนถึง 2.1 ล้านครัวเรือน เพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านครัวเรือนในช่วงก่อนวิกฤตโควิดปี 2019 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 24% 

ทั้งนี้ส่วนใหญ่ของครัวเรือนเปราะบางเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง คือมีรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่กลับมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ โดยจากการศึกษาพบว่า การเป็นครัวเรือนเปราะบางทำให้มีโอกาสประสบปัญหารายได้ไม่พอใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า 30%

 

จากแนวโน้มรายได้ที่เติบโตช้า และปัญหาหนี้เดิมสูง EIC ประเมินด้วยว่า ครัวเรือนอาจต้องใช้เวลาถึง 13 ปีโดยเฉลี่ยในการแก้ไขปัญหาความเปราะบาง โดยพบว่าบางครัวเรือนมีความเสี่ยงที่จะหลุดพ้นจากปัญหาได้ยากกว่าปกติ จากการเผชิญ 3 ข้อจำกัดสำคัญได้แก่ การไม่มีเงินเหลือเก็บ การขอสินเชื่อใหม่ได้ยาก หรือการเป็นครัวเรือนสูงอายุที่อาจมีข้อจำกัดทั้งด้านระยะเวลาและความสามารถในการหารายได้ 

นอกจากนี้ ปัญหาค่าครองชีพเร่งตัวและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเปราะบางสูงขึ้นจากแนวโน้มการก่อหนี้เพิ่ม ส่งผลทำให้ความเสี่ยงด้านหนี้เสียของผู้บริโภคยังมีความน่ากังวล 

การแก้ไขปัญหาความเปราะบางทางการเงินเป็นประเด็นระยะยาว ที่จำเป็นต้องใช้หลายเครื่องมือประกอบกัน ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระ การลดอุปสรรคต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ และการเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ 

 

อย่างไรก็ดี EIC มองว่าการป้องกันปัญหาเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ครัวเรือนต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่นำไปสู่ความเปราะบาง ซึ่งต้องใช้เวลานานในการแก้ไข และยังเสี่ยงนำไปสู่ปัญหาด้านการใช้จ่ายตามมา โดยการป้องกันอาจทำได้หลายวิธี ทั้งการสะสมสภาพคล่อง การทำประกันเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่จะสร้างผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน ไปจนถึงการวางแผนการก่อหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระ