ส่องโรดแมป 3 ปี “สมาคมธนาคารไทย”ชู 4 แนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลง

29 มิ.ย. 2565 | 19:50 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มิ.ย. 2565 | 02:50 น.

สมาคมธนาคารไทย วางโรดแมป 3 ปี ชู 4 แนวทาง รับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงิน เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทย มุ่งนำเทคโนโลยีช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวในงานเสวนาหัวข้อ “บทบาท 3 องค์กรภาคเอกชนและการทำงานร่วมกันในกกร. เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในงาน FTI Expo 2022 “Shaping Future Industries for Stronger Thailand” มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ว่า  ภาคธุรกิจการเงินมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งสู่ดิจิทัลแบง กิ้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ส่องโรดแมป 3 ปี “สมาคมธนาคารไทย”ชู 4 แนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลง

มีความท้าทายหลายด้าน ทั้งการมีผู้เล่นหน้าใหม่ในกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) ที่มีศักยภาพและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจากรายงาน FinTech in ASEAN 2021 พบว่า ในปี 2021 ประเทศไทยมีบริษัท ฟินเทครวม268 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 177 บริษัทในปี 2017

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล มีแนวทางจะปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการเติบโตอย่างยั่งยืน  โดยส่งเสริมการแข่งขันผ่านการเปิดโอกาสให้ภาคการเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูล ภายใต้หลักการ 3 Open ได้แก่

ส่องโรดแมป 3 ปี “สมาคมธนาคารไทย”ชู 4 แนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลง

  1. Open Competition การแข่งขันที่เปิดกว้างทั้งการแข่งขันจากผู้เล่นใหม่ซึ่งอาจจะไม่ใช่ธนาคารให้สามารถเข้ามาแข่งขันกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม รวมถึงเปิดให้  ผู้เล่นปัจจุบันสามารถปรับตัวเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ได้
  2. Open Infrastructure การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับทั้งผู้เล่นใหม่ และผู้เล่นปัจจุบันให้เข้ามาใช้งานได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและต่อยอดในเชิงนวัตกรรมได้
  3. Open Data  ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันและโอนข้อมูล เช่น การสนับสนุนให้มีธนาคารออนไลน์ หรือ virtual bank

 

ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้วางแนวทาง (Roadmap) การพัฒนาระบบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือความท้าทายและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับการแข่งขันของ       ประเทศไทย ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก  โดยมุ่งเน้น 4  ด้าน ดังนี้

  1. Enabling Country Competitiveness  การเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ  โดยนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น โครงการที่สำคัญ เช่น โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business หรือ PromptBiz  เป็นการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชำระเงิน ข้อมูลผู้ให้บริการทางการเงินและระบบภาษีของภาครัฐผ่านกระบวนการดิจิทัล 
  2. Regional Championing การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนและประชาชนสามารถทำกิจกรรมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ และการชำระเงินของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ต้นทุนต่ำ โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลระหว่างกันในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนระบบสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC และต่อยอดสู่การชำระเงินระหว่างประเทศ 
  3. Sustainability ภาคธนาคารต้องดำเนินงาน และ มีส่วนผลักดันให้การดำเนินงานของภาคเอกชนคำนึงถึงหลักการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนหรือ ESG  โดยสมาคมฯ จะผลักดันให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) และ BCG economy หรือโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ ร่วมกับธปท. พัฒนาแนวปฏิบัติการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
  4. Human Capital  การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าพัฒนาทักษะ (Up & Re-skill) พนักงานธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่มีอยู่กว่า 1.3 แสนราย ให้มีความรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น 

ส่องโรดแมป 3 ปี “สมาคมธนาคารไทย”ชู 4 แนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลง

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเป็นการฟื้นตัวแบบ The New K-shaped Economy หรือ การฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึงในแต่ละอุตสาหกรรม  หลังสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุด แต่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ ทั้งเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย-ยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

 

สภาพคล่องในตลาดเงินตลาดทุนลดลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภายใต้การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงจะมีทั้งธุรกิจที่ยังเป็นขาขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ยาเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ที่มีศักยภาพจะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศได้ ถ้ามีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่เคยเป็นขาขึ้น แต่เริ่มแผ่วลง จากปัจจัยใหม่ที่เข้ามา เช่น ธุรกิจยานยนต์ กลุ่มที่เคยเป็นขาลงจากมาตรการโควิด-19 แต่เริ่มดีขึ้น เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มที่ยังเป็นขาลงต่อเนื่อง กลุ่มนี้แม้จะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 แต่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว เช่น  ธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก รถโดยสาร เพราะนักท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

 

ทั้งนี้การสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆ  ภายใต้ The New K-shaped Economy สามารถเติบโตไปได้ ต้องอาศัยมาตรการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่มาตรการเดียวกันทั้งหมด