'พรินซิเพิล' มองหุ้นเวียดนามแกร่ง ท่ามกลางตลาดโลกผันผวน

24 มี.ค. 2565 | 19:20 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มี.ค. 2565 | 02:20 น.

'พรินซิเพิล' มองหุ้นเวียดนามแข็งแกร่งท่ามกลางตลาดโลกผันผวน จับจังหวะออกทริกเกอร์ฟันด์เวียดนาม เปิดขาย PRINCIPAL VNTG7M1 28 มี.ค. - 5 เม.ย.นี้ ชูจุดเด่นบริหารพอร์ตแบบ Active Management

นายศุภกร ตุลยธัญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) พรินซิเพิล จำกัดเปิดเผยว่า ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง แต่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความน่าสนใจต่อการลงทุน ด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย IMF คาดการณ์ว่าในปี 2565 เศรษฐกิจเวียดนาม จะกลับมาเติบโตได้ที่ระดับ 6.63% สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

นายศุภกร ตุลยธัญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. พรินซิเพิล จำกัด

นอกจากนี้ เศรษฐกิจเวียดนาม ยังมีความแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางปัจจัยลบที่กระทบกับตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยที่ผ่านมา เวียดนาม เป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่สามารถรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นบวกได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรง

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ เศรษฐกิจเวียดนาม ได้แก่

  • การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ
  • แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง ซึ่งสะท้อนออกมายังการบริโภคภายในประเทศที่เร่งตัวขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

 

ปัจจุบันเวียดนามถือเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ที่มีสัดส่วนเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(Foreign Direct Investment: FDI) ต่อ GDP สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย และสัดส่วน FDI มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากสิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศที่เวียดนามมีอยู่ เช่น CPTPP, RCEP และ EVFTA ที่ทำให้เวียดนามมีความน่าสนใจมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ

อีกทั้งเศรษฐกิจเวียดนาม ยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 3.5 แสนล้านดอง หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

นอกจากนี้ธนาคารกลางเวียดนามยังมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยคาดว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4% ตลอดปีนี้ อีกทั้ง เวียดนาม ได้ประกาศยกเลิกยกเลิกการใช้มาตรการกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศเพียงแค่แสดงผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นลบ คาดว่า ภาคท่องเที่ยวที่มีการทำรายได้ประมาณปีละ 32,000 ล้านดอลลาร์ก่อนหน้าการระบาด จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจเวียดนาม

 

ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม มองว่า ยังคงมีความน่าสนใจอยู่มาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาอื่น ในช่วงปี 2563 -2564 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนาม สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อย และคาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะกลับมาให้ความสนใจกับตลาดเวียดนาม เนื่องจากเป็นเศรษฐกิจที่มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่โดดเด่น

 

ดังนั้น หากได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก็จะยิ่งทำให้ ตลาดหุ้นเวียดนาม มีแนวโน้มที่ดี ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามมีระดับ valuation ที่ไม่แพงและมีอัตราการเติบโตของกำไรที่โดดเด่น โดยจากการประเมิน valuation แบบ Forward P/E อยู่ที่ประมาณ 14 เท่า และ EPS Growth หรืออัตรากำไรต่อหุ้นในปี 2565 ในระดับมากกว่า 20% จึงทำให้หุ้นเวียดนาม มีความน่าสนใจอย่างมากในการนำเสนอกองทุนในรูปแบบของทริกเกอร์ฟันด์

 

อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็น

  1. ทิศททางการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Fund Flows จากนักลงทุนต่างชาติ
  2. สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน
  3. การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามที่อาจกดดันให้ธนาคารกลางเวียดนามต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ไว้
  4. แนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนรวม

 

จากแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ดีและจากความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนของเรา พรินซิเพิล จึงเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม จึงเตรียมเปิดตัว “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม ทริกเกอร์ 7M1” หรือ Principal Vietnam Trigger 7M1 Fund (PRINCIPAL VNTG7M1) ทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 28 มีนาคม - 5 เมษายน 2565 สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท

 

PRINCIPAL VNTG7M1 เป็นกองทุนผสมที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธุรกิจหลักในเวียดนาม หรือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทาง เศรษฐกิจเวียดนาม และมีรูปแบบเป็น Trigger Fund ที่ไม่กำหนดอายุกองทุน แต่จะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไข ดังนี้

 

  • ครั้งที่ 1 เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ตํ่ากว่า 10.35 บาทและทรัพย์สินของกองทุนที่จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติจะต้องเป็นเงินสดหรือตราสารสภาพคล่องในสกุลบาทเพียงพอที่จะชำระค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ ในส่วนของผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา 3.50% ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) (หรือเท่ากับ 0.35 บาท/หน่วย) โดยบริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเมื่อกองทุนมีมูลค่าไม่ตํ่ากว่า 10.35 บาท เพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทุน

 

  • ครั้งที่ 2 เมื่อเกิดเหตุตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน คือ เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.75 บาท และ บริษัทจัดการสามารถรวบรวมเงินสดหรือตราสารสภาพคล่องในสกุลบาทได้เพียงพอเพื่อรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนตามที่ระบุในโครงการ

 

อย่างไรก็ตาม อัตรารับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับจากการเลิกกองทุนเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน เมื่อคำนวณเป็นมูลค่าต่อหน่วยลงทุนอาจมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าหน่วยลงทุนที่กำหนดตามเงื่อนไขการเลิกโครงการ และผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนในช่วงระยะเวลา 7 เดือนแรกนับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทุน  กรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขในระยะเวลา 7 เดือน บริษัทจัดการจะเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอีกครั้งในวันทำการแรกถัดจากวันครบกำหนดระยะเวลา

 

กองทุนเปิด PRINCIPAL VNTG7M1 มีแนวทางบริหารพอร์ตการลงทุนแบบเชิงรุก (Active Management) โดยทีมบริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมด้วยความร่วมมือกับทีม Principal ในระดับภูมิภาค เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพดี สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ผ่านการพิสูจน์ผลงานจากทีมผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ซึ่งมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีที่ 52.62% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่โดดเด่นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย (Source: Morningstar ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564)