บลูบิค ทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไรปี 64 โตทะลุ 50%

24 ก.พ. 2565 | 17:37 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2565 | 00:37 น.

บลูบิค ทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไรปี 64 โตทะลุ 50% เผยทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เสริมแกร่งบริการ มั่นใจดันเป้ารายได้ปีนี้โตไม่น้อยกว่า 50% เชื่อดีมานด์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันโตแรงต่อเนื่อง พร้อมจ่ายปันผลหุ้นละ 0.375 บาท

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ BBIK เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2564  บริษัทมีรายได้รวม 303.69 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 103.16 ล้านบาทหรือ 51.44% จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 200.53 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 66.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.18 ล้านบาทหรือ 50.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.29 ล้านบาท

 

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

 

ผลการดำเนินการของบลูบิคแสดงให้เห็นว่า ปี 2564 เป็นปีแห่งการเติบโตและประสบความสำเร็จทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าและมีการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบลูบิคจึงเตรียมเดินหน้าลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้าง Upside ให้รายได้ระยะยาว รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ

ปี 2564 บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) เป็นบริการที่มีสัดส่วนหลักในการดันรายได้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 102% คิดเป็น 201 ล้านบาท และกำไรเพิ่มขึ้นถึง 158% คิดเป็น 49 ล้านบาท ขณะที่การเติบโตเชิงรายได้ของบริการหลักอื่นๆ ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

 

 

ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data and Advanced Analytics) บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) บริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) และบริการที่ปรึกษาด้านการปรับกระบวนการทำการตลาดด้วยเทคโนโลยีและการวางกลยุทธ์การตลาดครบวงจร (Marketing Transformation & Marketing Strategy) ผลจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่เริ่มกลับมาดำเนินงานและกิจกรรมทางการตลาดตามแผนที่วางเอาไว้ หลังจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ OR  โดยปี 2564 ORBIT Digital ทำรายได้ราว 25.3 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ 9.3 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งกำไรของบลูบิคที่ 5.6 ล้านบาท โดยยังไม่รวมแบ็กล็อกจาก ORBIT อีกไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2564 จะชะลอตัว แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ กลับมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ดังนั้นปี 2565 จึงเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปีก่อน คือ ไม่ต่ำกว่า 50% โดยขณะนี้บริษัทฯ มีแบ็กล็อกมากกว่า 385 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2565 มากกว่า 245 ล้านบาท

 

“สำหรับแผนการลงทุน เราเห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม จึงจัดตั้งบริษัท บลูบิค โกลบอล จำกัด ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 15-20% ในปีนี้ อีกทั้งยังดำเนินการจัดตั้ง Bluebik Technology Center ในประเทศอินเดีย เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความรู้ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนเป็นศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้าน IT โดยเฉพาะ มาช่วยเสริมทัพในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ” นายพชรกล่าว

 

นอกจากนั้น คาดว่าการยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI จะได้รับการอนุมัติและเริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ในครึ่งปีหลังของปีนี้ ทำให้บริษัทฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปีอีกด้วย ขณะเดียวกันบริษัท ยังมองหาโอกาสการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน และสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้บริษัทฯ

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อบริษัท จีเอ็มวีพาย จำกัด (GMVPI) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านระบบ SAP แบบครบวงจร ในสัดส่วน 80% เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช้ระบบ SAP ในการบริหารจัดการองค์กรโดยวางเป้าหมายรายได้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทในปีนี้ และยังเดินหน้าขยายการลงทุนในแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในไตรมาส 1-2/2565 เพื่อเข้ามาเสริมแกร่งด้านบริการ และเป็นช่องทางในการขยายฐานลูกค้าในอนาคตอีกด้วย