สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลฯ พบ ขุนคลัง ขอเว้นภาษีคริปโตฯ 3 – 5 ปี

25 ม.ค. 2565 | 15:03 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ม.ค. 2565 | 22:54 น.
511

สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลฯ เดินหน้าผลักดันขอยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายคริปโตฯ ออกไปอย่างน้อย 3-5 ปี เผยหลัง 5 ปีค่อยเริ่มเก็บภาษียังทัน เชื่อรัฐได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่นอน แต่หากเร่งเก็บฯตอนนี้เหมือนผลักดันให้นักลงทุนออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เปิดเผยภายหลัง นำผู้ประกอบการเอกชน เข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร และนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาฯ ก.ล.ต.

 

นายปริญญ์ กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ยื่นข้อเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงการแนวทางสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ โดยได้เสนอให้ภาครัฐ ยกเว้นการจัดเก็บภาษีรายได้การซื้อขายคริปโตฯ ออกไปก่อน อย่างน้อย 3-5 ปี และเมื่ออุตสาหกรรมเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงค่อยกลับมาพิจารณาการจัดเก็บภาษีนักเทรด

 

ส่วนในแง่ของภาษีที่เก็บจากผู้ประกอบการ เมื่อถึงตอนนั้นธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะแข็งแรงแล้ว จะทำให้รัฐบาลยิ่งจัดเก็บภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากค่าธรรมเนียมการเทรดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และอาจเป็นไปได้ที่จะมียอดจัดเก็บได้มากกว่าภาษีจากนักลงทุนรายย่อย

สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลฯ พบ ขุนคลัง ขอเว้นภาษีคริปโตฯ 3 – 5 ปี

ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการตีความ “โทเคน” ว่าเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทไหน เป็นสินค้าหรือไม่ เพราะยังมีเรื่องของภาษีแต่ละประเภทเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น หากตีความว่าเป็นสินค้า ก็จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% เป็นต้น ดังนั้นทั้งหมดต้องมีความชัดเจน

 

"ผมเชื่อในแนวคิด ฟรีภาษี เสรีคริปโท ฉะนั้น การยกเว้นหรือเลื่อนการจัดเก็บภาษีคริปโทออกไปก่อนสัก 5 ปี หรือแม้กระทั่งการให้นำมาเป็นค่าลดหย่อนได้ จะเป็นโอกาสให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต เพราะตลาดนี้ยังไม่โตเต็มที่การเก็บภาษีในช่วงเวลานี้นักลงทุนอาจย้ายหนี เพราะธุรกิจนี้เป็น Global นักลงทุนสามารถเลือกเทรดกับเอ็กซ์เช้นจ์ต่างประเทศได้ไม่ยาก ตรงนี้จะทำให้สตาร์ทอัพด้านสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเสียโอกาส" นายปริญญ์ กล่าว 

 

สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลฯ พบ ขุนคลัง ขอเว้นภาษีคริปโตฯ 3 – 5 ปี

 

นอกจากนี้ยังได้เสนอในที่ประชุมในเรื่องของการผลักดันให้รัฐบาลนำบล็อกเชนมาใช้ในการ "ตรวจสอบงบประมาณของภาครัฐ" เพื่อลดการทุจริตและคอร์รัปชั่น เช่น การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ

 

รวมทั้งนำระบบบล็อกเชน มาใช้ในการระดมทุน เพื่อทำให้สตาร์ทอัพและ SMEs สามารถระดมทุนได้คล่องตัวมากขึ้นจากผู้ที่มีเงินทุนส่วนเกินทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ เพราะการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นอาจต้องใช้เวลาและมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่า และเสนอว่าภาษีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนเหล่านี้ก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคด้วยเช่นกัน

 

ขณะเดียวกันรัฐบาลไม่ควรออกกฎหมายที่เข้ามาควบคุมการเติบโตของเทคโนโลยี NFT เพิ่งจะเริ่มต้น เพราะอาจทำให้ผู้ประกอบการตลาด NFT หนีไปต่างประเทศ คนซื้อขายก็จะไปใช้บริการตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ปัจจุบัน  NFT คืออีกช่องทางในการหารายได้เพิ่มของศิลปินรายเล็ก ได้เข้ามาในพื้นที่นี้เพื่อสร้างรายได้ในโลกดิจิทัล