ส่องอนาคตตลาดหุ้นไทย ช่วงโค้งท้ายปี 2564

23 ต.ค. 2564 | 16:25 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ต.ค. 2564 | 23:25 น.
900

ส่องอนาคตตลาดหุ้นไทย ปลายปี 2564 : คอลัมน์ มันนี่ ดี ไอ วาย โดยณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ตลาดหุ้นไทยคาดว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับ 1,680 – 1,700 จุดได้ ปัจจัยหลักก็ยังคงเป็นเรื่องความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศเพื่อป้องกันโรคระบาด Covid-19  โดยจากข้อมูลการฉีดวัคซีน ณ วันที่ 14 ต.ค. 2564 คาดการณ์ได้ว่า ช่วงสิ้นปีนี้ ประชากรไทยจะได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม (Fully Vaccinated) เป็นจำนวน 50 ล้านคนหรือ 70% ของจำนวนประชากรภายในประเทศ 

 

ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและช่วยป้องกันการป่วยในระดับรุนแรงถึงระดับที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกที่ภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับที่สูง

 

ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 จะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการเปิดประเทศได้เป็นอย่างดี ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้กับหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร หรือกลุ่มขนส่งได้เป็นอย่างดี

ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในต่างประเทศที่จะเป็นตัวสนับสนุนต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย นับว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยยิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้ปรับตัวขึ้นไปในระดับ 1,680 จุดในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 – ไตรมาสที่ 1/2565 ได้

 

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญก็คือ แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่จะเริ่มออกจากเอเชียเหนือโดยเฉพาะประเทศจีน เนื่องจากความกังวลเรื่องมาตรการควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่จากภาครัฐ และกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคอาเซียน

 

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี ก็จะเป็นเรื่องการลดวงเงินเชิงปริมาณ (QE Tapering) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป และอาจจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนชั่วคราวในระยะเวลาดังกล่าวได้

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นไปอย่างจำกัดเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการสื่อสารให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาหุ้นในปัจจุบันก็ได้สะท้อนถึงปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว

นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอีกเรื่องที่ต้องจับตา ก็หนีไม่พ้นเรื่องของสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ -จีนที่อาจจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ และความกังวลเรื่องน้ำท่วมก็จะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้อีกทางหนึ่ง

 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงปลายปี 2564 มองว่า ควรเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เพื่อรองรับแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มกลับมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยมากขึ้น นอกจากนี้ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองหรือการเปิดประเทศก็จะเป็นหุ้นกลุ่มที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพิ่มเติมได้

 

กลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มขนส่ง กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี ซึ่งนับว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมกับการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่จะได้ประประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูงในระยะ 6 เดือนขึ้นไป