TCAP ส่ง"ธนชาตพลัส"ปล่อยสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ ตั้งเป้าโตปีละ 15%

14 ต.ค. 2564 | 12:59 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2564 | 19:59 น.

TCAP ปลื้ม "ธนชาตพลัส" บริษัทลูกเปิดตัวได้สวย 3 เดือนแรกปล่อยสินเชื่อ 1.2 พันล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นปีทะลุ 2.5 พันล้าน เติบโตปีละ 15% เน้นให้สินเชื่อกับลูกค้าองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ และมีหลักทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินปล่อยกู้ 30 – 500 ล้านบาท

นายสมเจตน์  หมู่ศิริเลิศ  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า บริษัท ธนชาตพลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ทุนธนชาต ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหารในกลุ่มธนชาตที่มีความเชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ด้านสินเชื่อโดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านสินเชื่อธุรกิจ  (Corporate Finance) ที่ต้องการจะสร้างสรรค์และส่งมอบโซลูชันที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ด้วยบริการสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Asset-based Financing) ที่เป็นวงเงินกู้ระยะยาว (Term Loan Facility) และเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Facility) ที่ลูกค้าสามารถนำไปเพิ่มสภาพคล่องและดำเนินธุรกิจให้เดินหน้าไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

หลังจาก ธนชาตพลัส ได้เปิดให้บริการด้านสินเชื่อ ผ่านมาประมาณ 3 เดือน ได้รับการต้อนรับที่ดีมีลูกค้ามาใช้บริการสินเชื่อไปแล้ววงเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงบริษัทประเภทอื่นๆ โดยมีการใช้วงเงินกู้รายละประมาณ 30-100 ล้านบาท และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการวงเงินกู้รวมแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท โดย ธนชาตพลัส ตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อปีละประมาณ 15%

นายปรีชา ฐานะลาโภ ผู้จัดการบริษัท (General Manager)  บริษัท ธนชาตพลัส จำกัด กล่าวว่า ธนชาตพลัส มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการที่มีการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง  มีความต้องการใช้สินเชื่อวงเงินตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงประมาณ 500 ล้านบาท โดยมีอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินเปล่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โรงแรม หรือ คอนโดมิเนี่ยม เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ทั้งนี้ ธนชาตพลัส จะใช้กลยุทธ์เข้าหาลูกค้า ด้วยการนำเสนอวงเงินสินเชื่อ การเบิกจ่าย การชำระคืน ให้เหมาะสม มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับการทำธุรกิจและกระแสเงินสดของกิจการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์และสนองความต้องการชองลูกค้าได้ดีกว่าสินเชื่อที่ได้จากธนาคาร และยังมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับคุณภาพเครดิตของผู้กู้และศักยภาพของหลักประกัน รวมถึงจะเน้นในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันในระยะยาวต่อไป