ฟิทช์ คาด เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วขึ้นในปี 65

13 ต.ค. 2564 | 12:24 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ต.ค. 2564 | 19:24 น.

ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดเศรษฐกิจไทย น่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปี 2565 หลังอัตราฉีดวัคซีนโควิด-19 เร่งตัวขึ้น ธุรกิจเริ่มเปิดกิจการ แต่ภาคธนาคาร อุตสาหกรรมค้าปลีกและโรงแรม ยังคงเผชิญความท้าทาย

ในงานสัมมนาประจำปีของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ที่จัดขึ้นผ่านระบบการประชุมออนไลน์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม  นักวิเคราะห์ของฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจไทย น่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นขึ้นในปี 2565 เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจต่างๆ เริ่มเปิดให้บริการใหม่ และสภาวะแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ยังคงเติบโตและยังคงเอื้ออำนวย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP)  น่าจะฟื้นตัวกลับมาที่ระดับก่อนโควิด-19  ภายในช่วงต้นปี 2566 อันดับเครดิตของบริษัทไทยรายใหญ่ส่วนมากได้ปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว แต่ยังคงมีบางภาคอุตสหากรรม เช่น ภาคธนาคาร อุตสาหกรรมค้าปลีกและโรงแรม ที่ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันในด้านรายได้ต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด

 

นายสตีเฟ่น ชวาว์ส ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ ฟิทช์ เรทติ้งส์เปิดเผยว่า อุปสงค์จากภายนอกที่ปรับตัวดีขึ้นน่าจะช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของไทย แต่ด้วยข้อจำกัดด้านอุปทาน ส่งผลให้อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจเติบโตได้น้อยลง และยังส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายสตีเฟ่น ชวาว์ส ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ ฟิทช์ เรทติ้งส์

ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะเริ่มลดทอนการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือนหน้า แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเริ่มขึ้นในปี 2566

 

สำหรับประเทศไทยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับเพียง 0.8% ในปี 2564 และ 4.8% ในปี 2565 โดยอัตราการฉีดวัคซีนได้ปรับตัวดีขึ้นแล้วหลังจากที่ค่อนข้างช้าในช่วงแรก การเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของประเทศจีนและการลดทอนการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เป็นตลาดเกิดใหม่และตลาดที่เพิ่งจะพัฒนา

 

คุณพาสันติ์ สิงหะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า  คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยยังคงมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากประมาณ 14% ของสินเชื่อรวมภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการผ่อนปรนและยังมีการผ่อนผันเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อ

 

ฟิทช์คาดว่า กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน   23% ของสินเชื่อรวมน่า จะยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสภาวะการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ จึงเชื่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2565 และอัตรากำไรของธนาคารน่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องในปี 2565

 

“ที่ผ่านมา ธนาคารไทยได้สะสมสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นมาในระดับที่สมเหตุสมผลและมีฐานะเงินกองทุนที่จะช่วยรองรับความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง โยคาดว่า ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญของระบบธนาคารในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นตลาดกำลังพัฒนา น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้  แต่ขึ้นกับความสามารถในการรองรับความเสียหายของธนาคารในแต่ละประเทศด้วย”

 

นายโอบบุญ  ถิรจิต ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)กล่าวว่า  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะช่วยให้รายได้ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์เติบโตต่อเนื่องในปี 2565 บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมในภาคพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2563

 

ทั้งนี้ ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ จากการที่รายได้เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด*19  สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกและโรงแรม  ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากยอดผู้ป่วย โควิด-19 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากและการจำกัดการเดินทางในปี 2564 น่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2565 แต่น่าจะใช้เวลา 2 ปี ที่การฟื้นตัวจะกลับขึ้นมาในระดับก่อนเกิดโควิด-19

 

บริษัทไทยได้มีการเพิ่มการลงทุนและมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น เพื่อที่จะรองรับการเติบโตในระยะปานกลางและเพื่อการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้มากขึ้น (digitalization) และการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สิน (leverage) ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและจำกัดโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิต