วิกฤต "ทุเรียน" ตะวันออกผลผลิตเพิ่ม 56.86% เร่งรัฐเจรจาการส่งออก

09 มี.ค. 2568 | 16:52 น.
อัปเดตล่าสุด :09 มี.ค. 2568 | 16:59 น.

ผลผลิตผลไม้ภาคตะวันออก ปี 2568 คาดเพิ่ม 45% ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง มีปริมาณรวม 1,453,862 ตัน ขณะที่ ทุเรียน เพิ่มขึ้นมากสุด 56.86% แนะภาครัฐเร่งเจรจาขยายพื้นที่แลปตรวจสอบสาร BY2

เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูผลไม้ภาคตะวันออก ซึ่งมีผลไม้หลัก 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง โดยแต่ละปีจะเน้นการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะ ทุเรียน ที่ส่งออกไปยังประเทศจีน จะก็ยังประสบปัญหาเรื่องการส่งออก เนื่องจากมีการเตรียมเข้มงวดเพื่อหาสารแคสเมียม และสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 

จากการรายงานสถานการณ์การผลิตและข้อมูลพยากรณ์ไม้ผลภาคตะวันออก ปี 2568 ซึ่งมี ผลผลิตไม้ผลหลัก 4 ชนิดของภาคตะวันออก (ระยอง จันทบุรี ตราด) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง โดยคาดการณ์ว่า ปริมาณผลผลิตไม้ผลรวมทั้ง 4 ชนิดจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณรวม 1,453,862 ตัน เพิ่มขึ้น 45.50% จากปี 2567 ที่มีจำนวน 999,211 ตัน

ทุเรียน คาดการณ์ผลผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยมีปริมาณ 1,045,410 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 56.89 ปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกทั้งหมด 469,580 ไร่ โดยพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอท่าใหม่ อำเภอขลุง และอำเภอเขาคิชฌกูฏ ซึ่งพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง เนื่องจากมีราคารับซื้อและน้ำหนักต่อผลอยู่ในเกณฑ์ดี และเป็นที่มีตรงตามความต้องการของตลาดปลายทาง

สำหรับข้อเสนอแนะ อยาให้หน่วยงานภาครัฐควรเตรียมความพร้อมด้านโลจิสติกส์และช่องทางการตลาดเพื่อรองรับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคม และควรมีการวางแผนและบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรตลอดฤดูกาล

รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำและผลผลิตและติดตามสถานการณ์การออกดอกและติดผลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบต่อประมาณการผลผลิตได้พิจารณาผลกระทบของการขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนต่อสมดุลของระบบนิเวศและพืชเศรษฐกิจอื่นในระยะยาว

นายสุเทพ นพพันธ์ เจ้าของสวนนวลทองจันท์ เปิดเผยว่า ผลผลิตทุเรียนภาคตะวันออกปีนี้ค่อนข้างมาก โดยปกติช่วงผลผลิตเริ่มออกผลปีที่ผ่านๆ จะมีเริ่มมีล้งเข้ามาติดเจรจารับซื้อผลผลิตเพื่อทำการส่งออกไปยังประเทศจีน แต่สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างน่าจะเป็นห่วง เนื่องจากประเทศจีนได้มีการตรวจพบสาร BY2 ในทุเรียนไทย ทำให้จีนเข้มงวดในการตรวจผลผลิตมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการล้ง ในพื้นที่ไม่เข้ามาเจรจาซื้อทุเรียน เพราะเกรงว่าจะมีปัญกาเรื่องการขนส่ง 

ทั้งนี้ ได้คาดการณ์ว่าราคาทุเรียนปีนี้ อาจจะถูกลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยทุเรียนพันธุ์เกรด AB กิโลละ 150 บาท ตกไซต์ กิโลกรัมละ 40 บาท ขณะที่ปี 2567 เกรด AB กิโลกรัมละ 400 บาท ตกไซต์ กิโลกรัมละ 100 บาท 

"ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ ทางจีนไม่เชื่อมั่นในสินค้าและมีการตรวจผลไม้ 100% เราจะทำการค้าลำบากมาก ตอนนี้เราต้องสร้างความมั่นใจให้กับทางจีนว่าสินค้าปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง" 

อย่างไรก็ตาม อยากให้ทางภาครัฐเร่งเจรจาสร้างความมั่นใจกับทางประเทศจีน และเพิ่มแลปให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพราะปัจจุบันมีเพียงเซ็นทรัลแลป ที่สามารถสร้างความมั่นใจได้ สามารถตรวจได้ 600 ตัวอย่างทั่วประเทศ ซึ่งสวนทางกับการส่งออกทุเรียน 1,000 ตู้ต่อวัน