thansettakij
เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

14 เม.ย. 2568 | 00:30 น.

โอกาส 90 วันต่อลมหายใจยังไม่พอ! ธุรกิจไทยหนีไม่พ้นแรงกระแทกศึกภาษีโลก ต้องเร่งปรับตัวก่อนโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดซ้ำ SCB EIC เปิดโผกลุ่มสินค้ารับผลกดดันหนัก ยานยนต์ อิเล็กฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ ถุงมือยาง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC เปิดเผยว่า แม้ทรัมป์จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไปอีก 90 วัน แต่ก็จะไม่ช่วยให้ธุรกิจไทยรอดพ้นจากมรสุมทางเศรษฐกิจที่กำลังจะตามมาได้ โดยการเก็บภาษีตอบโต้ที่ระดับ 10% ในระยะ 90 วัน อาจช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อภาคธุรกิจไทยได้บางส่วน

ทั้งนี้ ประเมินว่า ภาคธุรกิจไทยก็จะยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากกฎกติกาการค้าโลกที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป โดยไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด ธุรกิจไทยก็จะยังคงได้รับผลกระทบทั้งทางตรง (Direct impact) ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ และทางอ้อม (Indirect impact) อีกหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น

  1. ความต้องการสินค้าขั้นกลางจากประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ของไทยที่อาจชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจีนโดนกำแพงภาษีในอัตราที่สูงถึง 145%
  2. สินค้าจีนมีแนวโน้มทะลักเข้ามาในไทยและตลาดโลกมากขึ้น
  3. อุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดโลกโดยรวมมีแนวโน้มแผ่วลง
  4. การเปิดตลาดสินค้าบางประเภทเพื่อใช้ในการเจรจาต่อรองลดแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ
  5. ไทยอาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากประเทศที่มีการออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ
  6. ผลกระทบในระยะต่อไปที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ แนวโน้มการปรับเปลี่ยนและออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลกที่อาจส่งผลให้มีการชะลอการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตออกจากไทย และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยตามมาได้

สำหรับกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับปานกลาง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรอื่น ๆ ผักผลไม้สดและแปรรูป เนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป ยานยนต์ เม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับต่ำ ได้แก่ ข้าว นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มต่างๆ 

นอกจากนี้ ระดับความรุนแรงของผลกระทบจาก Reciprocal tariffs ต่อภาคธุรกิจไทยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเงื่อนเวลา เนื่องจากยิ่งภาษีถูกใช้นานขึ้น ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้น สอดคล้องกับค่าความยืดหยุ่นของความต้องการนำเข้าต่อราคาที่สูงขึ้นตามระยะเวลา

หากใช้สมมติฐานการวิเคราะห์โดยกำหนดให้ Reciprocal tariffs อยู่ที่ระดับ 36% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท เมื่อมีการบังคับใช้มาตรการด้านภาษีครบ 5 ปี

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อออกไป ทั้งนี้ การชะลอการเก็บภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบของสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ซึ่งทุกประเทศรวมทั้งไทยจะโดนเก็บภาษีที่อัตราพื้นฐาน (Universal rate) ที่ 10% (ยกเว้นจีนซึ่งโดนเก็บที่ 145% ทันที) จะช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อภาคธุรกิจไทยได้บางส่วน จากอานิสงส์ 3 ประการ ได้แก่

  1. การเร่งส่งออกสินค้าในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ยังไม่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างเต็มรูปแบบกับไทย อย่างไรก็ดี ผลบวกในด้านนี้อาจถูกลดทอนลงได้ เนื่องจากมีการเร่งส่งออกสินค้าไปบ้างแล้วบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
  2. ระดับภาษีที่ไทยถูกเก็บจากสหรัฐฯ ในช่วงเวลา 90 วันต่อจากนี้ จะอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยในระยะสั้น ๆ เอาไว้ได้
  3. โอกาสในการเข้ามาทดแทนการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ และจากตลาดสหรัฐฯ ไปยังจีน โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีอุปทานในประเทศและมีกำลังการผลิตส่วนเหลือมากเพียงพอ 

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

SCB EIC ประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย

  1. Product : พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่าง/สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า
  2. Place : กระจายตลาด
  3. Preparedness : บริหารความเสี่ยงในทุกมิติทั้ง Supply chain และ Balance sheet
  4. Productivity : การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และถือโอกาสใช้วิกฤติครั้งนี้ยกเครื่องโครงสร้างการผลิตของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

นโยบายภาษีตอบโต้กระทบต่อธุรกิจไทยอย่างไร?

นโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในหลายมิติ ทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ที่จะส่งผลกระทบได้ทั้งในเชิงลบและเชิงบวก โดยผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบทางตรงจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ

มาตรการภาษีตอบโต้ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย โดยเฉพาะจากประเทศคู่แข่งที่ถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าไทย ในทางกลับกัน หากประเทศคู่แข่งถูกเก็บภาษีสูงกว่าก็จะส่งผลบวกต่อไทย

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีอาจส่งผลให้ผู้นำเข้าชะลอการสั่งซื้อในระยะสั้น อีกทั้งภาคธุรกิจไทยยังจะได้รับผลกระทบทางอ้อม ผ่าน 6 ช่องทาง ดังนี้

  • การส่งออกสินค้าขั้นกลางไปประเทศต่างๆ ที่โดน Reciprocal tariffs ภาษีตอบโต้ที่ประเทศคู่ค้าของไทยถูกเรียกเก็บ จะทำให้ประเทศคู่ค้าของไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ลดลง ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าขั้นกลางเพื่อไปผลิตสินค้าขั้นปลายสำหรับส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ปรับลดลงตามไปด้วย
  • ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยและการแข่งขันกับสินค้าจีนที่รุนแรงมากขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะทำให้ปัญหาอุปทานส่วนเกินในจีนรุนแรงขึ้น ผลักดันให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยและการส่งออกของจีนไปยังตลาดอื่นๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจีนรุนแรงขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย จากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งธุรกิจที่พึ่งพาภาคการส่งออก รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยว
  • การเปิดตลาดสินค้าบางประเภทเพื่อเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ โดยรัฐบาลไทยอาจยินยอมเปิดตลาดนำเข้าสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกหากสินค้าดังกล่าวไทยผลิตเองไม่ได้และจำเป็นต้องนำเข้า แต่จะส่งผลลบหากสินค้าดังกล่าวมีการผลิตในไทยและมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก
  • การส่งออกสินค้าไปประเทศที่มีมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ช่องทางนี้จะส่งผลบวกต่อธุรกิจไทย เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าสหรัฐฯ ในประเทศที่มีมาตรการตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐฯ
  • การปรับเปลี่ยน Supply chain โดยผู้ประกอบการต่างชาติที่มาลงทุนในไทย เพื่อใช้ประโยชน์ด้านภาษีเพื่อการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจจะชะลอการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตออกจากไทย

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการล่าสุดซึ่งเน้นการขึ้นกำแพงภาษีแบบเฉพาะเจาะจงกับสินค้านำเข้าจากจีน ขณะที่การขึ้นภาษีตอบโต้แบบเต็มรูปแบบสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ได้มีการประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ จะถูกเลื่อนออกไปอีก 90 วัน โดยที่ยังคงเก็บอัตราภาษีพื้นฐานที่ระดับ 10%

SCB EIC ประเมินว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อภาคธุรกิจไทย จากปัจจัยหนุน 3 ประการ ได้แก่

  1. การเร่งส่งออกสินค้าในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ยังไม่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างเต็มรูปแบบที่ 36% กับไทย ทั้งนี้ ผลบวกด้านนี้อาจถูกลดทอนลง เนื่องจากมีการเร่งส่งออกสินค้าบางประเภทไปบ้างแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
  2. ระดับภาษีที่ไทยถูกเก็บจะอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งในระยะ 90 วันต่อจากนี้ ซึ่งในระยะสั้นจะช่วยให้ไทยไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
  3. โอกาสในการเข้ามาทดแทนการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่จีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 145% และโอกาสในการเข้ามาทดแทนการส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน

โดยปัจจัยข้อแรกจะช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ในขณะที่ปัจจัยที่ 2 และ 3 จะช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อสินค้าส่งออก เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก ถุงมือยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารสัตว์เลี้ยง

แม้ว่ามาตรการ Reciprocal tariffs เต็มรูปแบบจะถูกเลื่อนออกไป แต่ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังคงมุ่งเน้นเป้าหมายในการลดการขาดดุลทางการค้าและส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายกีดกันทางการค้ายังมีแนวโน้มถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า

ความไม่แน่นอนและความผันผวนของมาตรการต่างๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานั้น จะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคธุรกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

SCB EIC ได้จัดทำการประเมินระดับผลกระทบรายธุรกิจ ภายใต้สมมติฐานที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ไทยจะโดนเก็บภาษีตอบโต้ที่ 36% และประเทศอื่นๆ ก็จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ตามอัตราที่ทรัมป์ได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งภายใต้สมมติฐานดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกันไป โดยระดับความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับกลไกการส่งผ่านผลกระทบผ่าน 4 ช่องทางสำคัญ ได้แก่

  1. ระดับการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อัตราภาษีของไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และความสามารถของสหรัฐฯ ในการหาสินค้าทดแทนสินค้าไทย
  2. ระดับการพึ่งพาการส่งออกสินค้าขั้นกลางไปจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่จีนมีการผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ อีกทอดหนึ่ง
  3. ระดับการพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดโลก
  4. ปัญหาสินค้าจีนทะลัก (เกณฑ์ในการพิจารณาตามรายละเอียดในรูปที่ 2)

โดยภาพรวมแล้ว ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบในระดับสูง คือ กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนสูง และมีโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากการที่ไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่งค่อนข้างมาก อีกทั้ง สหรัฐฯ ก็สามารถหาสินค้าทดแทนจากแหล่งอื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ 

ขณะที่กลุ่มธุรกิจของไทยที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตจีนเพื่อการส่งออกไปสหรัฐฯ ก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของการส่งออกของจีน เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยางพาราและไม้ยางพารา 

นอกจากนี้ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกค่อนข้างมากจะเผชิญกับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อีกทั้ง ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบสูงยังเป็นกลุ่มที่จะเผชิญกับปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามารุนแรงมากขึ้นจากปัญหา Overcapacity ของจีนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มสินค้าเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ เป็นต้น

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรอื่นๆ ผักผลไม้สดและแปรรูป เนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป ยานยนต์ ถุงมือยาง เม็ดพลาสติก เป็นต้น

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจรายอุตสาหกรรม ในกรณีที่ไทยโดนภาษีตอบโต้ที่ 36% ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับสูง

อิเล็กทรอนิกส์

ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมในระดับสูง โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จะได้รับผลกระทบทางตรง ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ 67%, 59%, 38% และ 30% ตามลำดับ

นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในภาพรวมยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอลง

แม้แต่ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในกระแสนวัตกรรมใหม่ เช่น AI และ EV ก็คาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก อย่างไรก็ตาม การเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไปอีก 90 วัน อาจจะช่วยบรรเทาผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไปตลาดสหรัฐฯ ในบางหมวดสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และระยะต่อไป คาดว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น จากทั้งนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านอื่นๆ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น ไทยจะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย และหนุนให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นฮับเทคโนโลยีที่สำคัญของอาเซียน และมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น 

ผลิตภัณฑ์พลาสติก

ได้รับผลกระทบทางตรงในระดับสูง เนื่องจากไทยมีการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปประเภทแผ่นฟิล์มพลาสติก ถุง และบรรจุภัณฑ์ ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 17-25% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าพลาสติกสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกทั้งหมด

อีกทั้ง สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ไทยส่งออกไปทั้งหมด ส่งผลให้ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตจากประเทศผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า เช่น เกาหลี (25%) หรืออินเดีย (26%) เป็นต้

อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีโอกาสได้รับผลเชิงบวกได้ หากสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราที่เท่ากันทุกประเทศ และยังคงภาษีต่อจีนไว้ที่ 145% เนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปยังสหรัฐฯในลำดับต้นๆ 

เหล็ก

แม้ว่าจะได้รับผลกระทบทางตรงในระดับต่ำแต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมในระดับสูง โดยในส่วนของผลกระทบทางตรงที่ต่ำเนื่องจากไทยยังมีการส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กไปตลาดโลกเป็นสัดส่วนน้อย อยู่ที่ราว 2% ของมูลค่าการส่งออกรวม โดยมีสัดส่วนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 18% ของการส่งออกสินค้าเหล็กทั้งหมดของไทย

พร้อมกันนี้ สินค้าเหล็กไม่อยู่ในกลุ่มที่ถูกใช้อัตราภาษี 36% ตาม Reciprocal tariff แต่อยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษีนำเข้าตามมาตรา 232 (ภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act of 1962) ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25% และถูกใช้อัตรานี้
มาตั้งแต่ปี 2018 อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สินค้าเหล็กได้รับผลกระทบทางอ้อมในระดับสูง ทั้งจากการทะลักเข้ามาของเหล็กจากจีนมากขึ้น รวมถึงการที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กถ้วนหน้าที่ 25% ยังส่งผลให้เหล็กจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เคยได้รับการยกเว้นอัตราภาษีในช่วงก่อนปี 2025 มีความเสี่ยงที่จะถูกระบายมาไทยมากขึ้น

ประกอบกับยังมีความเสี่ยงจากการใช้เหล็กไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตลดลง จากการทะลักเข้ามาของสินค้าปลายน้ำจากจีน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ชิ้นส่วนรถยนต์ EV ที่ถูกนำเข้าจากจีนเป็นหลักเกิน 90% จาก FTA ซ้ำเติมให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยอยู่ในระดับต่ำลงกว่าเดิม

รวมถึงการเข้ามาลงทุนของบริษัทเหล็กจีนในไทยเป็นความเสี่ยงที่ทำให้สินค้าเหล็กจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Country of origin) เนื่องจากการผลิตเหล็กในไทยใช้วัตถุดิบนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูง

ที่อาจนำมาสู่การถูกสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการกีดกันการค้าผ่านกลไกการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าได้ยางพารา ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกยางพาราไปยังตลาดสหรัฐฯ เพียง 9.5% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด แต่ไทยโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ

โดยอินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ ซึ่งถูกเก็บภาษีตอบโต้ที่ 32% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้ความต้องการใช้ยางล้อเติบโตชะลอลงตามไปด้วย ซึ่งจะกดดันราคายางพาราในตลาดโลกและส่งผลเสียต่อรายได้ของอุตสาหกรรม

เนื่องจากอุตสาหกรรมยางพารามีการพึ่งพารายได้จากตลาดโลกในระดับสูง สะท้อนได้จากในช่วงปี 2020 - 2024 ที่สัดส่วนปริมาณการส่งออกยางพาราต่อปริมาณผลผลิตยางพาราทั้งหมดของไทยจะอยู่ที่ราว 54.8% - 69.9% ยิ่งไปกว่านั้น การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนจะกระทบต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากไทยมีการส่งออกยางพาราไปจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 32% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดในปี 2024

ไม้ยางพารา

ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะส่งออกไม้ยางพาราไปสหรัฐฯ น้อยมากเพียง 0.004% ของปริมาณการส่งออกไม้ยางพาราทั้งหมด แต่ไทยจะได้รับผลทางอ้อมในระดับสูงผ่านทางจีน เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกไม้ยางพาราไปตลาดจีนเกือบทั้งหมด

โดยในปี 2024 ส่งออกไปจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ดังนั้น สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไม้ยางพาราด้วย เนื่องจากไม้ยางพาราเป็นสินค้าขั้นกลางที่จีนนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ในปี 2024 จีนพึ่งพาการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 26% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกัน การชะลอตัว ของเศรษฐกิจจีนยังส่งผลกระทบต่อความต้องการภายในประเทศเองด้วย 

ถุงมือยาง

ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากไทยมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยในปี 2024 มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 32% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ คู่แข่งสำคัญของไทยอย่างมาเลเซียถูกเก็บภาษีตอบโต้เพียง 24% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยปรับตัวลดลง

ประกอบกับกำลังการผลิตถุงมือยางในมาเลเซียที่มีอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ไทยอาจได้รับผลบวกไม่มาก จากการส่งออกถุงมือยางไปทดแทนสินค้าถุงมือยางจีนในตลาดสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมถุงมือยางอาจบรรเทาลงระยะสั้น

จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จนทำให้จีนถูกเก็บภาษีในระดับสูง และไทยกับมาเลเซียถูกเก็บภาษีตอบโต้ในระดับที่เท่ากัน ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากการส่งออกถุงมือยางไปสหรัฐฯ เพื่อทดแทนถุงมือยางจีน

โดยในปี 2024 จีนส่งออกถุงมือยางไปสหรัฐฯ 16,800 ล้านคู่ (ไทยส่งออก 8,300 ล้านคู่ และมาเลเซียส่งออก 23,200 ล้านคู่) หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้อุตสาหกรรมถุงมือยางได้รับผลกระทบในระดับต่ำหรือได้รับผลกระทบเชิงบวก 

แผงโซลาร์เซลล์-ชิ้นส่วนประกอบ

ได้รับผลกระทบทางตรงในระดับสูง เนื่องจากไทยส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยในปี 2024 มีสัดส่วนอยู่ที่ราว 67% ของการส่งออกทั้งหมด ทั้งนี้มาตรการ Reciprocal tariff 36% คาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงไปอีก

ซึ่งจะซ้ำเติมผู้ส่งออกที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ถึง 77.85-154.68% ตั้งแต่ พ.ย. 2024 ที่ผ่านมาที่ส่งผลให้การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบไปสหรัฐฯ ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2025 ลดลงถึง 50% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน

ดังนั้น หากรวมผลกระทบจาก Reciprocal tariff อีก 36% เข้าไปด้วย คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2025 ลดลงเฉลี่ยราว 45-65% ทั้งนี้แม้ไทยจะมีความได้เปรียบจากที่เวียดนามและกัมพูชาที่เป็นคู่แข่งสำคัญโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าโดยรวมมากกว่าไทย

แต่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่โดนเก็บภาษีการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบรวมต่ำกว่า นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการแข่งขันจากจีน เวียดนามและกัมพูชาที่อาจมีกลยุทธ์กระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดแผงโซลาร์เซลล์รุนแรงมากขึ้น

สินค้าประมง

ได้รับผลกระทบในระดับสูงทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีการพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดโลกในระดับสูง โดยในปี 2024 ไทยมีการส่งออกสินค้าประมงไปยังสหรัฐฯ ราว 14% อีกทั้ง ยังมีการส่งออกไปจีนสูงถึงราว 24% ของการส่งออกทั้งหมดอีกด้วย

ดังนั้น ไทยจะถูกกระทบจากมาตรการ Reciprocal tariffs ซึ่งจะบังคับใช้ในอีก 90 วันข้างหน้า ผ่านทั้งช่องทางการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยตรง รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของอุปสงค์จากจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆ ร่วมด้วย

ทั้งนี้ “กุ้ง” คือสินค้าส่งออกหลักในกลุ่มสินค้าประมง โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 1 และ 2 ของไทย สัดส่วนมากถึงราว 36.4% และ 17.2% ของการส่งออกสินค้ากุ้งทั้งหมด ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาในแง่ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยในตลาดส่งออกหลักดังกล่าวข้างต้น จะพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งสำคัญที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังสหรัฐฯ และการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังจีน ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้ทั้งไทยและคู่แข่งจะโดนเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% เท่ากันหมด แต่ด้วยต้นทุนการผลิตและราคาส่งออกกุ้งของไทยที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

SCB EIC จึงประเมินว่าศักยภาพการแข่งขันด้านราคาของกุ้งไทยในสหรัฐฯ ก็จะยังคงด้อยกว่าคู่แข่งในตลาดไม่ต่างไปจากภาพเดิมที่ SCB EIC ประเมินไว้ และจะยิ่งเสียเปรียบคู่แข่งหลักอย่างเอกวาดอร์และอินเดีย (โดนเก็บภาษีที่ 10% และ 26% ตามลำดับ) มากยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ภายใต้สมมติฐานที่หลังจาก 90 วันนี้ ไทยจะโดนเก็บ Reciprocal tariffs ที่อัตรา 36% ตามที่สหรัฐฯ ได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้

ชิ้นส่วนยานยนต์ 

ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญที่ครองส่วนแบ่งสูงถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย  อีกทั้ง การขึ้นภาษีนำเข้าแบบเจาะจงในอัตรา 25% คาดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เผชิญความเสี่ยงสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. การส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว อันเกิดจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับเม็กซิโก ซึ่งมีศักยภาพการแข่งขันในอุตฯ ชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้เคียงกับไทย  อีกทั้ง ยังมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการค้า เพราะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ  โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ ล้อรถ และระบบเกียร์
  2. คำสั่งซื้อชิ้นส่วนจากประเทศผู้ผลิตรถยนต์หลัก มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่มีการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยเพื่อนำไปประกอบยานยนต์และส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน เช่น ผู้ผลิตคลัตช์ เบรก เข็มขัดนิรภัย และถุงลมนิรภัย มีความเสี่ยงจากผลกระทบทางอ้อม
  3. ทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนคาดว่าจะชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในกลุ่ม USMCA (เช่น เม็กซิโก) ซึ่งยังได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ

ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับปานกลาง 

เม็ดพลาสติก

ได้รับผลกระทบทางตรงในระดับต่ำ เนื่องจากไทยมีสัดส่วนในการส่งออกเม็ดพลาสติก ไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 1% ของมูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมด อย่างไรก็ดี จะได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านทางจีน เนื่องจากไทยมีสัดส่วนในการส่งออกเม็ดพลาสติกไปยังจีนราว 30% ของมูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกไทยไปยังตลาดโลก เพื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปต่างๆ

การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีน จึงส่งผลกระทบทางอ้อมต่อ Supply chain จากจีนที่มีแนวโน้มส่งออกได้น้อยลง และผลกระทบด้านราคาที่มีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากผลของสงครามการค้า

น้ำตาล-มันสำปะหลัง 

ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกน้ำตาลและมันสำปะหลังไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่มากอยู่ที่เพียง 0.4% และ 2.4% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดตามลำดับ แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของโลกให้เติบโตชะลอลงตามไปด้วย

ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาในตลาดโลก และส่งผลเสียต่อรายได้ของอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยพึ่งพารายได้จากตลาดโลกค่อนข้างมาก สะท้อนได้จากในช่วงปี 2020 – 2024 สัดส่วนการส่งออกน้ำตาลต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลของไทยอยู่ที่ราว 46.8% – 66.6%

ขณะที่สัดส่วนการส่งออกมันสำปะหลังต่อปริมาณการผลิตของไทยอยู่ที่ราว 69 – 74% โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนคิดเป็น 63.8% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินค้าจีนทะลัก เนื่องจากจีนมีผลผลิตน้ำตาลและผลผลิตมันสำปะหลังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ 

น้ำมันปาล์ม

ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปตลาดสหรัฐฯ แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มโลกเติบโตชะลอลงตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาปาล์มน้ำมันในตลาดโลกและส่งผลเสียต่อรายได้ของอุตสาหกรรม

เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มในไทยมีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงขึ้น จะกดดันราคาถั่วเหลืองในตลาดโลก เพราะในปี 2024 จีนมีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ กว่า 22 ล้านตัน

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราคาถั่วเหลืองจะส่งผลต่อเนื่องมายังราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกด้วย เนื่องจากสินค้าทั้งสองสามารถใช้ทดแทนกันได้ ทั้งนี้ ผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอาจบรรเทาลงในระยะสั้น จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น จนทำให้จีนหันมานำเข้าน้ำมันปาล์มในตลาดโลกเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันถั่วเหลืองในประเทศ ซึ่งจะช่วยส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก 

อาหารสัตว์เลี้ยง

ได้รับผลกระทบปานกลาง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 17.9% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดและคู่แข่งสำคัญอย่างแคนาดาจะถูกเก็บภาษีในระดับต่ำกว่าไทย แต่การหาสินค้าเพื่อทดแทนอาหารสัตว์เลี้ยงทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงและเน้นกลุ่มพรีเมียม

โดยผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงอาจบรรเทาลงในระยะสั้น จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น จนทำให้ผู้นำเข้าในจีนหันมานำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทย ไปทดแทนอาหารสัตว์เลี้ยงที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยในปี 2024 จีนนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 ที่ 343 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากไทยมากเป็นอันดับ 3 ที่ 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ หากทรัมป์มีการเปลี่ยนแปลงภาษีจนทำให้ภาษีที่ไทยถูกเก็บอยู่ในระดับเดียวกับแคนาดา ก็จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงได้รับผลกระทบในระดับต่ำหรืออาจจะได้รับผลเชิงบวก

สินค้าปศุสัตว์

ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง โดยสินค้าหลักของกลุ่มนี้คือ “ไก่” ซึ่งไทยผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 65-70% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีกราว 25-30% เป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดต่างประเทศ โดยพบว่าในปี 2024 ไทยส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งไปตลาดจีนสูงถึง 32.6% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมด แต่ไม่ได้มีการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ

ขณะที่ในส่วนของไก่แปรรูป ก็พบว่าไทยไม่ได้มีการส่งออกไปยังทั้ง 2 ตลาดดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น แนวโน้มธุรกิจในระยะต่อไปจะถูกกระทบผ่านช่องทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยเป็นหลัก ซึ่งอาจมีผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่โดยภาพรวมปรับลดลงได้

แต่ผลกระทบอาจจะไม่รุนแรงมากนักเนื่องจากเนื้อไก่จัดเป็นโปรตีนพื้นฐานที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด อีกทั้ง ยังอาจได้รับอานิสงส์บางส่วนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

ยานยนต์และยางล้อ

ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง จากนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าแบบเจาะจง 25% จากทุกประเทศคู่ค้า เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยไม่ได้มีสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าสำคัญ ส่วนหนึ่งเพราะค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่เข้ามาตั้งโรงงานส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ รวมถึงตลาดใกล้เคียงในภูมิภาคอาเซียนและออสเตรเลียเป็นหลัก

ส่งผลให้ตลาดสหรัฐฯ ครองส่วนแบ่งของมูลค่าการส่งออกยานยนต์ไทยเพียง 2% ณ ปี 2024 ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตยางล้อก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระดับปานกลางเช่นเดียวกัน โดยแม้ว่าอุตสาหกรรมยางล้อของไทยจะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูง (ครองส่วนแบ่งมูลค่าการส่งออกราว 50% ณ ปี 2024)

แต่ศักยภาพทางการผลิตและการส่งออกของไทยนั้นค่อนข้างโดดเด่นและยังหาคู่แข่งที่มีความสามารถในระดับทัดเทียมกันได้ยาก จึงคาดว่าสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้ายางล้อจากไทยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลกระทบทางตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และยางล้อจะค่อนข้างจำกัด แต่จำเป็นต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมที่คาดว่าจะทวีความรุนแรง

โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจนมีส่วนทำให้แนวโน้มการส่งออกของทั้งสองอุตสาหกรรมขยายตัวแผ่วลง กอปรกับประเด็นการทะลักเข้ามาของยานยนต์และยางล้อจากจีนที่จะทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศปรับแย่ลง เพราะกลยุทธ์การแข่งขันที่เน้นลดราคา

รวมถึงความเสี่ยงจากการที่สหรัฐฯ จะหันมาปรับหลักเกณฑ์การตรวจสอบกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) รวมถึงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับต่ำ 

ข้าว

ได้รับผลกระทบในระดับต่ำ เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะส่งออกข้าวไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 8.5% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด แต่ 74.5% ของปริมาณข้าวที่ส่งไปสหรัฐฯ เป็นข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่สหรัฐฯ และเวียดนามยังไม่สามารถผลิตทดแทนได้สมบูรณ์ ตามความต้องการของผู้บริโภคเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากไทย

นอกจากนี้ ข้าวเป็นสินค้าจำเป็น ทำให้ความต้องการบริโภคไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ยิ่งไปกว่านั้น ผลผลิตข้าวในจีนมีไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมข้าวไทยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าจีนทะลัก

อย่างไรก็ดี ในระยะ 1-3 เดือน ผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิในสหรัฐฯ อาจจะชะลอการนำเข้าและใช้สินค้าที่มีอยู่ในสต็อกไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนผลการเจรจาลดภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ 

เครื่องดื่ม นมและผลิตภัณฑ์นม

ได้รับผลกระทบในระดับต่ำ เนื่องจากถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานซึ่งความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price elasticity of demand) ในระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน สินค้ากลุ่มนี้ยังพี่งพาอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศเป็นหลักอีกด้วย

โดยพบว่าในปี 2024 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม (แอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์) ไปสหรัฐฯ และจีน เพียง 5.8% และ 2.1% ของการส่งออกทั้งหมด ตามลำดับ ขณะที่พึ่งพาการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมไปทั้งสองตลาดดังกล่าว เพียงราว 0.1% และ 1.8% ตามลำดับ ดังนั้น ช่องทางการส่งผ่านผลกระทบจึงมาจากการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก 

ผลกระทบจะลุกลามไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากภาคการผลิต 

นอกจากกลุ่มธุรกิจในภาคการผลิตที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์แล้ว ยังมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากทั้งการค้าและการลงทุนที่ชะลอตัว อย่างเช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจโลจิสติกส์ 

นิคมอุตสาหกรรม

ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของนักลงทุนต่างชาติบางส่วน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตมาไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งยังคงรอความชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุนในช่วงที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ มีความผันผวน ส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของไทยมีโอกาสชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดี นิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น จากการกระจายฐานการผลิตมาไทยของทั้งนักลงทุนชาวจีนและนักลงทุนนานาชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

อีกทั้ง ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเติบโตในตลาดไทยและอาเซียน เช่น Data center และพลังงานสะอาด ที่ต่างชาติมีแนวโน้มอยากจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ในระยะข้างหน้า 

โลจิสติกส์

ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง โดยเป็นผลกระทบทางตรงค่อนข้างสูงจากปริมาณการขนส่งสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงในเส้นทางส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทั้งการขนส่งทางเรือหรือทางอากาศ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1

ส่วนทางอ้อมจะได้รับผลกระทบปานกลางจากการลดลงของปริมาณการขนส่งสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางของไทยไปจีน และจากการที่ธุรกิจโลจิสติกส์พึ่งพิงภาคการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างมากจึงทำให้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

รวมถึงปริมาณการขนส่งสินค้าในประเทศก็มีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทย อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และจีนที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งทั้งนำเข้าและส่งออกไปยังเส้นทางใหม่ๆ เพื่อชดเชยตลาดเดิม

ขณะเดียวกันระดับราคาน้ำมันที่ยังไม่สูงและการปรับตัวของผู้ประกอบการขนส่งในด้าน Supply chain คาดว่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้

ภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบที่ระดับ 36% กระทบธุรกิจไทยรุนแรง

SCB EIC ประเมินว่า ภาษีตอบโต้ที่ระดับ 36% จะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท เมื่อบังคับใช้ครบ 5 ปี ภาษีตอบโต้จะกระทบภาคธุรกิจรุนแรงและชัดเจนมากขึ้น เมื่ออายุการบังคับใช้ยาวนานมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการประเมินอัตราการลดลงของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ จากสูตรการคำนวณภาษีตอบโต้ของทรัมป์พบว่า ผลกระทบต่อธุรกิจไทยจะรุนแรงขึ้นตามระยะเวลาการบังคับใช้ภาษี เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ผู้ประกอบการนำเข้าในสหรัฐฯ น่าจะสามารถหาสินค้าทดแทนการนำเข้าได้มากขึ้น (เช่น การเพิ่มการผลิตในประเทศ)

สะท้อนได้จากค่าความยืดหยุ่นของความต้องการนำเข้าต่อราคาสินค้าของสหรัฐฯ ที่จะติดลบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป (รูปที่ 4) ตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มต้นเก็บภาษีตอบโต้ (ปี 0) ค่าความยืดหยุ่นของความต้องการนำเข้าต่อราคาอยู่ที่ -0.26 ซึ่งหมายความว่า หากราคานำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 10.0% จะส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จะลดลง 2.6% และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น -0.75 และ -1.2 เมื่ออายุการบังคับใช้ครบ 1 ปีและ 5 ปี ตามลำดับ

เมื่อนำอัตราภาษีตอบโต้ที่ไทยถูกเรียกเก็บที่ 36% มาคูณกับค่าความสามารถในการส่งผ่านภาระภาษีไปยังผู้นำเข้าสหรัฐฯ และค่าความยืดหยุ่นของความต้องการนำเข้าต่อราคาของสหรัฐฯ จะพบว่า ในปีที่เริ่มเรียกเก็บภาษี (ปี 0) มูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงไม่มากนัก โดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.7 แสนล้านบาท

แต่หากภาษีตอบโต้ถูกเรียกเก็บยาวนานจนครบอายุ 5 ปี และ 10 ปี มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ จะลดลงสะสมสูงถึง 8.1 แสนล้าน และ 1.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.8% และ 71.7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในปี 2024 ตามลำดับ

จากการประเมินกรณีที่ทรัมป์มีการลดภาษีให้เพิ่มเติม ก็ยังพบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ก็จะยังปรับตัวลดลงในทุกกรณี เช่น หากทรัมป์ลดภาษีตอบโต้ให้ไทยเหลือครึ่งหนึ่งที่ 18% หรือเหลือ 10% มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ก็จะยังลดลงสะสมราว 4.0 และ 2.2 แสนล้านบาท เมื่ออายุการบังคับใช้ครบ 5 ปี ตามลำดับ

ซึ่งจากกรณีที่ยกมาจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าในกรณีใด การส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ก็จะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสงครามกำแพงภาษีครั้งนี้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

เจรจาภาษีสหรัฐฯ ใน 90 วัน.. ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ 

SCB EIC ประเมินว่าผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมพร้อมปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ โดยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ประกอบด้วย

1) Product : พัฒนาผลิตภัณฑ์ ในสถานการณ์ที่แต่ละประเทศทั่วโลกต่างแข่งขันกันเพื่อเอาตัวรอดจากสงครามการค้าที่มีการตอบโต้กันอย่างรุนแรง ทางรอดสำคัญของผู้ประกอบการคือ ต้องเน้นพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้ได้มากที่สุด รวมถึงการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นในตลาด อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกัน ต้องหันมาพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเพื่อหนีคู่แข่งและลดการแข่งขันด้านราคา

2) Place : กระจายตลาด ผู้ประกอบการไทยต้องลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพให้ได้มากที่สุด อาทิ จีน อินเดีย EU รวมถึงตะวันออกกลาง รวมถึงการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี FTA ที่ไทยมีอยู่กับประเทศต่าง ๆ ขณะเดียวกัน แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัว แต่ผู้ประกอบการยังต้องให้ความสำคัญกับการสร้างตลาดภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความผันผวนภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 

3) Preparedness : รับมือความเสี่ยง ภายใต้สถานการณ์ทั้งภายนอกและภายในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงและมีความเสี่ยงอยู่รอบด้าน ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมบริหารความเสี่ยงในทุกมิติ ทั้งในด้านความมั่นคงของ Supply chain ได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบจากหลายแหล่ง หาแหล่งวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ รวมถึงบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้มีความยืดหยุ่น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องดูแลงบดุลและกระแสเงินสดให้พร้อมอยู่เสมอ รวมถึงผู้ประกอบการที่มีศักยภาพอาจจะเตรียมพร้อมในการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว  

4) Productivity : เพิ่มประสิทธิภาพ ในสถานการณ์ที่ต้นทุนทางการค้าปรับตัวสูงขึ้นมากและแต่ละประเทศมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ทางรอดสำคัญประการหนึ่งของผู้ประกอบการคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อาทิ การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ การพัฒนาศักยภาพของแรงงานทั้งการ Reskill และ Upskill

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอาจมองหาโอกาสในการจับมือทางธุรกิจเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว แม้การเลื่อนบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน จะช่วยลดแรงกดดันต่อภาคธุรกิจไทยในระยะสั้น

แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องตระหนัก คือ ภาษีตอบโต้ทรัมป์ 2.0 ไม่ใช่แค่ “ปัญหาเฉพาะหน้า” ที่รอให้ภาครัฐไปเจรจาแก้ไขเท่านั้น แต่คือ สัญญาณเตือน ว่าระบบการค้าโลกยุคใหม่กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน (Disruption) ที่ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์หรืออัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

แต่ “ความไม่แน่นอน” เองต่างหาก ที่กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ (New Normal) … 90 วันนี้ จึงอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่า ธุรกิจไทยพร้อมแค่ไหนกับกติกาการค้าโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป